8 งานที่จะเกิดขึ้นจาก AI

เครื่องจักรที่สามารถทำงานรูทีนแทนมนุษย์ได้ช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่สิ่งนี้ส่งผลอย่างไรบ้างต่อการจ้างงานมนุษย์ คำตอบคือแทนที่จะทำให้งานหายไป AI กลับสร้างโอกาสด้านการงานใหม่ๆ ให้กับเรา

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 6 นาที
Jobs AI will Create

ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับงานในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่การดูแลสุขภาพไปจนถึงการผลิต การเตรียมธุรกิจให้พร้อมสำหรับการปฏิวัติ AI จึงเป็นสิ่งสำคัญในขณะที่เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ อีกทั้งทักษะด้านเทคโนโลยีก็จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในอนาคตเช่นเดียวกับทักษะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่มี

AI จะเข้ามาแย่งงานเราหรือไม่

AI จะเข้ามาแย่งงานเราหรือไม่

เรามักจะหยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามของ AI ที่มีต่อตลาดแรงงานขึ้นมาพูดกัน เช่น AI จะทำให้งานต่างๆ หายไปหรือไม่ อุตสาหกรรมใดบ้างที่จะมีอัตราการว่างงานสูงสุด และหุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานจนทำให้เราทุกคนตกงานในที่สุดหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่มีเหตุมีผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีนี้ฉลาดขึ้นทุกวัน เพราะทุกวันนี้หุ่นยนต์ก็สามารถทำงานได้หลายอย่างแล้ว เช่น

  • จัดการการบันทึกข้อมูล การจ่ายเงินเดือน และงานด้านบัญชี

  • เขียนอีเมลที่ต้องส่งเป็นประจำ
  • ตอบกลับคำขอของลูกค้า

  • ติดตามพัสดุ

  • รับผิดชอบงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การผลิตบนระบบสายการประกอบ

  • คัดกรองใบสมัครงาน

งานที่ AI จะเข้ามาแทนที่

การวิเคราะห์จาก PwC เผยให้เห็นว่า ในระยะสั้น AI อาจส่งผลกระทบต่อบริการทางการเงินมากที่สุด จากการที่อัลกอริทึมสามารถช่วยให้เกิดการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทว่าในระยะยาวนั้น มีการคาดการณ์กันว่าภาคการขนส่งจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด จากการพัฒนายานพาหนะไร้คนขับที่จะทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้พนักงานขนส่งและคนขับรถแท็กซี่ อุตสาหกรรมการผลิตเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากการที่ AI เข้ามาแย่งงาน ดังจะเห็นได้จากการที่หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์ในโรงงานต่างๆ

แม้จะเป็นความจริงที่ว่างานบางส่วนกำลังอยู่ในช่วงขาลงอันเนื่องมาจากระบบอัตโนมัติ และความกลัวที่ว่า AI จะเข้ามาแย่งงานนั้นจะฟังดูสมเหตุสมผลในบางกรณี แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเครื่องจักรจะ 'ครองโลก' ของเราเสียทีเดียว

อันที่จริง World Economic Forum คาดการณ์ไว้ว่า เทคโนโลยีจะสร้างงานมากกว่าทำลายงานอย่างน้อย 12 ล้านตำแหน่งภายในปี 2025

แบบสำรวจอีกชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการที่ AI เข้ามาทดแทนงาน ซึ่งจัดทำโดยนักวิชาการจาก University of Warwick และ University of Sussex Business School พบว่า มีบริษัทที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจำนวนเพียงไม่ถึง 1 ใน 4 เท่านั้นที่เชื่อว่า AI ส่งผลให้เกิดการสูญเสียงานมากกว่าการสร้างงาน ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่หุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานจึงอาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง

ว่ากันตามตรงเลยดีกว่า เพราะเราก็เคยผ่านจุดนี้กันมาแล้ว เทคโนโลยีใหม่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่แต่อย่างใด การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตต่างก็เคยเผชิญกับความเคลือบแคลงสงสัยที่คล้ายกันนี้มาแล้ว เทคโนโลยีก้าวหน้ามาอย่างรวดเร็วตลอด ทว่าผู้คนก็ยังคงมีงานทำ อีกทั้ง AI ยังถูกออกแบบมาให้ช่วยมนุษย์ทำงาน หาใช่ทำลายงานเหล่านั้น

"การพูดคุยเกี่ยวกับผลกระทบที่ AI อาจมีต่องานต่างๆ มักจะเน้นไปที่การสูญเสียงานที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนโดยอัตโนมัติได้มากขึ้นเรื่อยๆ" Dr. Will Hunt แห่ง Institute for Employment Research จาก University of Warwick กล่าว "และแม้ว่าเหมือนจะมีหลักฐานบางอย่างสนับสนุนในเรื่องนั้น แต่งานวิจัยของเราพบว่า AI มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการสร้างงานสุทธิในบริษัทต่างๆ ที่นำ AI มาใช้มากกว่าที่จะเป็นการสูญเสียงานสุทธิ"

มาพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานกัน

เรากำลังพยายามค้นหาคำตอบของคำถามที่สำคัญที่สุดที่เราทุกคนต่างสงสัยเกี่ยวกับการทำงานในเมตาเวิร์ส มาดูกัน

ปัญญาประดิษฐ์จะสร้างงานได้อย่างไร

ปัญญาประดิษฐ์จะสร้างงานได้อย่างไร

AI มีศักยภาพในการสร้างประโยชน์อันมหาศาลต่อเศรษฐกิจ ทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า AI จะเพิ่มมูลค่าของ GDP โลกถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 ตามการวิเคราะห์ของ PwC

ประโยชน์บางส่วนของ AI จะเปลี่ยนแปลงลักษณะงานที่มนุษย์ทำ เนื่องจากระบบอัตโนมัติจะทำให้งานที่มีคุณค่าสูงและงานที่อาศัยความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งมักจะต้องใช้ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์นั้นมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น โดยงานประเภทต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลดีอย่างมากต่อธุรกิจ หากธุรกิจนั้นค้นพบวิธีใหม่ๆ ที่น่าสนใจในการใช้งาน AI เพื่อช่วยให้พนักงานของตนมีความคิดสร้างสรรค์ ทำงานอย่างมีกลยุทธ์ และมีความเป็นผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น

แนวทางหลักๆ ที่ AI สามารถสร้างหรือเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานได้มีดังต่อไปนี้

ทำงานรูทีน

AI สามารถจัดการงานจำนวนมากที่น่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจ และกินเวลาอันมีค่าของพนักงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนมีเวลาให้ความสำคัญกับแง่มุมด้านนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ของงานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเติมเต็มช่องว่างด้านผลิตภาพที่เกิดจากการขาดแคลนพนักงานได้ด้วย

เมื่อไม่ต้องคอยทำงานที่น่าเบื่อเอง พนักงานก็จะสามารถมุ่งความสนใจไปที่การเอาชนะใจลูกค้ารายใหม่และการช่วยขยายธุรกิจได้

ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ให้กับพนักงาน

AI สามารถมีบทบาทสำคัญในการฝึกอบรม ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเพิ่มพูนทักษะของพนักงานได้มากขึ้น AI ไม่เพียงจะมอบการเรียนรู้ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลและการประเมินผลแบบให้เกรด แต่ยังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เรียนทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงผ่านการตอบข้อสงสัยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับเอกสารประกอบหลักสูตรได้อีกด้วย การเรียนรู้แบบโต้ตอบประเภทนี้จะช่วยให้การฝึกอบรมดำเนินไปได้เร็วกว่าเดิมและช่วยให้ผู้เรียนจดจำข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้สอนสามารถให้ความสำคัญกับงานระดับสูงมากขึ้นได้ เช่น การให้ข้อเสนอแนะการให้คำปรึกษา

สร้างอาชีพที่จำเป็นต้องใช้ความฉลาดทางอารมณ์

หุ่นยนต์ทำหลากหลายอย่างได้ดีกว่ามนุษย์ แต่หุ่นยนต์ก็ยังไม่สามารถทำงานในบทบาทที่ต้องอาศัยความฉลาดทางอารมณ์ระดับสูงได้ เช่น งานด้านการจัดการ การให้คำปรึกษา สังคมสงเคราะห์ และจิตวิทยาในการทำงาน

การเติบโตของ AI มีแนวโน้มที่จะมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของโอกาสในอาชีพการงานสำหรับผู้ที่มีคุณลักษณะในด้านอย่างเช่น ความเอาใจใส่ ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดเชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การเป็นที่ทำงานที่ประสบความสำเร็จ แม้ว่า AI จะสามารถระบุปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขได้ แต่การสร้างแรงจูงใจให้ทีม การจัดการเรื่องสุขภาวะ และการส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันจำเป็นต้องอาศัยบุคคลที่มีความฉลาดทางอารมณ์ งานที่ต้องอาศัยความเมตตา ความเอาใจใส่ ความคิดสร้างสรรค์ และการศึกษาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานในอนาคต

นอกจากนี้ งานบางอย่างก็ไม่สามารถใช้ AI แทนได้ งานที่ไม่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้และจำเป็นต้องอาศัยความเป็นมนุษย์อยู่เสมออย่างงานที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้า เช่น นักผจญเพลิง ผู้ดูแล และครูอาจารย์

8 งานที่จะเกิดขึ้นจาก AI

8 งานที่จะเกิดขึ้นจาก AI

มีการคาดการณ์ว่า AI จะยังคงเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะสร้างโอกาสในการทำงานและพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ

แม้ว่าจะใช้ระบบอัตโนมัติผ่าน AI แต่มนุษย์ก็ยังสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ในภาพรวมได้และอาจจำเป็นต้องเข้ามาจัดการหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น นอกจากนี้ AI ยังจะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในสาขาต่างๆ เช่น วิทยาการข้อมูล แมชชีนเลิร์นนิ่ง วิทยาการหุ่นยนต์ ตลอดจนสาขาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยงานที่จะถือกำเนิดขึ้นจาก AI มีดังนี้

1. นักฝึกฝน AI

ระบบ AI จำเป็นต้องมีมนุษย์คอยสอนวิธีการทำงาน เนื่องจากระบบ AI ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง แม้ว่าคุณอาจจะเห็นสิ่งดังกล่าวจากภาพยนตร์ต่างๆ ก็ตาม ที่น่าสนใจคือ พนักงานออฟฟิศจำนวนมากได้ย้ายไปทำงานเป็นนักฝึกฝน AI ที่ให้ค่าตอบแทนสูงขึ้นกันแล้ว โดยตัวอย่างของการฝึกฝน AI ได้แก่ การฝึกแชทบอทหรือเจ้าหน้าที่เสมือนเพื่อรับมือกับคำถามของลูกค้า

2. นักวิเคราะห์ข้อมูล

ด้วยการที่ AI สร้างข้อมูลออกมาเป็นจำนวนมาก นักวิเคราะห์ข้อมูลจึงจำเป็นต้องตรวจเทียบและตีความข้อมูลเหล่านั้น แม้ว่าระบบอัตโนมัติช่วยให้งานดังกล่าวสำเร็จลุล่วงได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น แต่นักวิเคราะห์ก็ยังคงต้องดึงข้อมูลที่มีความสำคัญที่สุดออกมาจากชุดข้อมูลเพื่อช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจอย่างรัดกุมยิ่งขึ้นอยู่

3. เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพที่ใช้ AI เป็นตัวช่วย

AI มีศักยภาพอย่างยิ่งในการพลิกโฉมแวดวงการดูแลสุขภาพ หนึ่งในแนวทางหลักที่ AI สามารถช่วยได้คือการช่วยให้บุคลากรสายสุขภาพสามารถระบุและวินิจฉัยภาวะทางการแพทย์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น อีกทั้งการแพทย์ทางไกลและอุปกรณ์ทดสอบสำหรับใช้ที่บ้านก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาถึงความเสี่ยงของผู้ป่วย เช่น อายุ เพศ และตำแหน่งได้ด้วย

4. วิศวกร AI

เมื่อปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาใช้ในที่ทำงานมากขึ้น วิศวกร AI จะกลายเป็นตำแหน่งที่มีความต้องการสูง วิศวกร AI จะต้องชำนาญในทักษะการเขียนโปรแกรม วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และวิทยาการข้อมูล รวมถึงสามารถสร้างโมเดล AI โดยใช้อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิ่งได้ AI จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาระบบที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสำหรับองค์กร

5. นักพัฒนา AI

นักพัฒนา AI ใช้ทักษะของตนเพื่อพาธุรกิจไปสู่อนาคต โดยมักจะทำงานร่วมกับวิศวกร AI และนักวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด บทบาทของนักพัฒนา AI คือการพัฒนาซอฟต์แวร์ AI และแอพให้เหมาะกับบริษัทที่สุดโดยพิจารณาจากข้อมูลที่รวบรวมและวิเคราะห์มา

6. นักออกแบบ 3 มิติ

ในขณะที่ความสนใจในเมตาเวิร์สเพิ่มมากขึ้น นักออกแบบ 3 มิติและ CGI จะมีบทบาทในการสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านอวาตาร์ได้ โดย AI สามารถทำงานร่วมกับเมตาเวิร์สได้ผ่านการสแกน 3 มิติเพื่อสร้างการแสดงออกทางสีหน้าที่มีความสมจริงสูง รวมถึงพื้นที่จำลองเพื่อสร้างอินเทอร์เน็ตที่คุณสามารถก้าวเข้าไปสัมผัสได้

7. ที่ปรึกษาด้านการวางแผนออกกำลังกาย

ในอนาคต แทนที่เราจะไปโรงยิมหรือออกกำลังกายกับเทรนเนอร์ ผู้คนสามารถเข้าถึงที่ปรึกษาด้านการออกกำลังกายเพื่อเริ่มเซสชั่นการโค้ชจากทางไกลได้ โดยที่ปรึกษาจะวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้และใช้ข้อมูลนั้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนปรับปรุงรูปแบบการใช้ชีวิตและสุขภาวะของตนเอง

8. ที่ปรึกษาด้านจริยธรรม AI

แมชชีนเลิร์นนิ่งมีประสิทธิภาพพอๆ กับข้อมูลที่ป้อนเข้าไปเท่านั้น หากข้อมูลดังกล่าวมีความโน้มเอียง ผลลัพธ์ของ AI ก็จะมีความโน้มเอียงด้วย ซึ่งประเด็นนี้อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อภาครัฐและธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบ AI จะทำงานตามที่ออกแบบไว้โดยไม่ก้าวข้ามขอบเขตทางจริยธรรม ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถว่าจ้างผู้จัดการฝ่ายการปฏิบัติตามจริยธรรมเพื่อป้องกันไม่ให้อัลกอริทึมของ AI ถูกควบคุมได้

วิธีรับมือกับ AI ในที่ทำงาน

วิธีรับมือกับ AI ในที่ทำงาน

เมื่อ AI มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง บุคลากรในหลากหลายสาขาก็จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน การฝึกฝนทักษะใหม่และการเพิ่มพูนทักษะของพนักงานให้สามารถทำงานเหล่านี้ได้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการก้าวทันโลกและคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงาน ทั้งนี้ ทักษะที่ควรพัฒนาในยุคของ AI มีดังนี้

  • การคิดเชิงวิเคราะห์

  • การสื่อสารผ่านการพูดและการเขียนได้อย่างชำนาญ
  • ความคิดสร้างสรรค์

  • การจัดการผู้คนและการเป็นผู้นำ

  • ความฉลาดทางอารมณ์

  • กรอบความคิดแบบเติบโต

การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากจุดที่เรายังจินตนาการไปไม่ถึง เช่นเดียวกับกรณีของอินเทอร์เน็ต

อ่านต่อ

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้เกี่ยวกับออฟฟิศไร้พรมแดนไปพร้อมกัน

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้เกี่ยวกับออฟฟิศไร้พรมแดนไปพร้อมกัน


โพสต์ล่าสุด

ความเป็นผู้นำ | ใช้เวลาอ่าน 4 นาที

3 บทเรียนที่ผู้นำได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง

ประสบการณ์ที่ผู้นำพบเจอในชีวิตจริงคือสิ่งที่จะกำหนดตัวตนและแนวทางการเป็นผู้นำของคนเหล่านี้ มาดู 3 ตัวอย่างที่เราคัดมาแล้วว่าดีที่สุดกัน

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 12 นาที

การทำงานแบบไฮบริด: ยินดีต้อนรับสู่วิธีการทำงานรูปแบบใหม่

คุณต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศหรือทำงานจากที่บ้านต่อไป แล้วถ้าเอาทั้งสองรูปแบบมารวมกันล่ะ การทำงานแบบไฮบริดอาจเป็นวิธีที่เหมาะกับองค์กรของคุณที่สุดก็เป็นได้

อนาคตของการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 6 นาที

เราจะทำงานอย่างไรในเมตาเวิร์ส

ตั้งแต่การทำงานร่วมกันในทีมไปจนถึงวัฒนธรรมของบริษัท นี่คือ 5 วิธีที่เมตาเวิร์สและ Virtual Reality จะเปลี่ยนอนาคตในการทำงานและการทำธุรกิจ