การทำงานร่วมกันและนวัตกรรม

การทำงานร่วมกันอย่างยอดเยี่ยมก่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ที่เยี่ยมยอด คำถามคือ องค์กรจะส่งเสริมการทำงานร่วมกันในประเภทต่างๆ ที่นำไปสู่นวัตกรรมในที่ทำงานมากขึ้นได้อย่างไร หาคำตอบได้ในบล็อกนี้

ความร่วมมือในทีม | ใช้เวลาอ่าน 5 นาที
Collaboration and innovation

นวัตกรรมที่เกิดจากการทำงานร่วมกันมีตัวอย่างให้เราเห็นอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมมือกันพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จนประสบความสำเร็จ วิศวกรที่ผสมผสานความเชี่ยวชาญแต่ละด้านเพื่อสร้างการขนส่งรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือทีมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ผสมผสานทักษะการสร้างสรรค์ของแต่ละคนเพื่อมอบประสบการณ์ภาพยนตร์อันน่าทึ่ง

แม้ว่าการทำงานร่วมกันในที่ทำงานจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดความสำเร็จได้ ทว่าความล้มเหลวในการทำงานร่วมกันก็อาจให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามได้ด้วยเช่นกัน คุณเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจที่แก้ไขปัญหาทั้งหมดของบริษัทด้วยการคิดฝันถึงโซลูชั่นใหม่ๆ อยู่เรื่อยหรือไม่ เราเองก็ไม่เคย เราทุกคนจะเคยได้ยินก็แต่เรื่องของผู้นำต่างๆ ที่ไม่ยอมรับฟังไอเดียของผู้อื่น จนส่งผลให้ธุรกิจของตนตกต่ำ (และระดับความเครียดพุ่งทะลุเพดาน)

โชคดีที่คนในตำแหน่งผู้นำต่างตระหนักกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการทำงานร่วมกันและความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ข้อมูลจาก Fierce พบว่า ผู้นำจำนวนมากถึง 86% ระบุว่าการขาดการทำงานร่วมกันเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในที่ทำงาน ดูเหมือนว่าพวกเราส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่า การทำงานเป็นทีมและการแชร์ไอเดียต่างๆ ระหว่างกันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่รูปแบบการทำงานที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกนี้คืออะไรกันแน่ และเราจะทำงานร่วมกันในลักษณะที่ส่งเสริมนวัตกรรมได้อย่างไร เรามาเจาะลึกสิ่งเหล่านี้ไปด้วยกัน...

มาพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานกัน

เรากำลังพยายามค้นหาคำตอบของคำถามที่สำคัญที่สุดที่เราทุกคนต่างสงสัยเกี่ยวกับการทำงานในเมตาเวิร์ส มาดูกัน

เหตุใดการทำงานร่วมกันจึงขับเคลื่อนนวัตกรรม

เหตุใดการทำงานร่วมกันจึงขับเคลื่อนนวัตกรรม

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณมีไอเดียที่ดีมากน้อยเพียงใด เนื่องจากคุณสามารถขยายและปรับปรุงไอเดียเหล่านั้นได้ตลอดเวลา เมื่อครั้งที่ Paul McCartney (หรือที่คนมักเรียกกันว่า Macca) แต่งเพลง Getting Better ในอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles ลงแผ่น LP ในปี 1967 เขาเองอาจคิดว่าเนื้อเพลงดังกล่าวนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทว่า John Lennon ไม่คิดเช่นนั้น เพราะในระหว่างที่เขากำลังอัดเสียงร้องประสาน จู่ๆ เขาก็กลับร้องตอบเนื้อร้องให้กำลังใจของ Macca ที่ว่า "It's getting better all the time" (ต่อไปนี้จะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น) ด้วยเนื้อร้องเสียดสีว่า "It can't get no worse" (ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้ได้แล้ว) การร้องประสานของ Lennon จึงได้ยกระดับเพลงนี้ไปอีกขั้น โดยเปลี่ยนจากเพลงจังหวะสดใสร่าเริงกลายเป็นเพลงที่น่าสนใจกว่ามาก

หลายปีต่อมา McCartney ได้ยกย่องผลงานที่เพื่อนร่วมวงของเขาได้ถ่ายทอดลงในเพลง Getting Better โดยในหนังสือชีวประวัติของ McCartney ที่ชื่อ Many Years From Now ซึ่งเขียนโดย Barry Miles นักร้องดังจากวง The Beatles ผู้นี้ได้กล่าวว่า "ตอนนั้นผมกำลังนั่งร้องเพลงท่อน 'Getting better all the time' แล้ว John ก็พูดห้วนๆ ว่า 'It couldn’t get no worse' จากนั้นผมก็รู้สึกขึ้นมาว่า โอ้ ยอดเลย! นี่เลยเป็นเหตุผลที่ผมชอบเขียนเพลงกับ John มากๆ..."

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของการทำงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยม การนำบุคลิก ประสบการณ์ชีวิต และชุดทักษะที่แตกต่างกันมารวมอยู่ด้วยกันช่วยให้เราได้มองเห็นสิ่งต่างๆ จากหลากหลายมุมมอง จนส่งผลให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายที่ลงตัวมากยิ่งขึ้นในท้ายที่สุด

Jacob Torfing สำรวจแนวคิดที่ว่า การทำงานร่วมกันหลายฝ่ายจะขับเคลื่อนพลังที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาในเชิงบวกในหนังสือของเขาที่ชื่อ Collaborative Innovation in the Public Sector ศาสตราจารย์จาก Roskilde University ผู้นี้ยังชี้ด้วยว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือทางวิทยาศาสตร์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีสิ่งนี้

"การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และการแพร่หลายของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ไม่สามารถจุดประกายให้เกิดนวัตกรรมใดๆ ในตัวมันเองได้" เขาเขียนอธิบาย "การที่ทั้งสองปัจจัยนี้จะสามารถกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมได้ขึ้นอยู่กับการลงมือทำอย่างมีเป้าหมายของผู้มีบทบาททางสังคมและการเมืองที่มองว่าแต่ละนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาที่เฉพาะเจาะจง หรือเป็นเครื่องมือในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ต้องการ ตลอดจนผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้มีบทบาทคนอื่นๆ ทั้งในและนอกองค์กรของตนเองเพื่อออกแบบ ทดสอบ และนำโซลูชั่นใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ไปใช้"

ข้อดีของนวัตกรรมที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน

ข้อดีของนวัตกรรมที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน

ความสามารถในการจัดการกับโปรเจ็กต์หรือปัญหาจากหลากหลายมุมมองเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ข้อดีของการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายเท่านั้น การสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและการทำงานร่วมกันเพื่อแชร์ไอเดีย ข้อกังวล และความรับผิดชอบต่างๆ สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมได้หลากหลายแนวทางด้วยกัน ดังนี้

ความคืบหน้าที่รวดเร็วขึ้น

หากคุณกำลังจะจัดงานปาร์ตี้และอยากให้แน่ใจว่ามีอาหารพอสำหรับทุกคน อะไรจะเร็วกว่ากันระหว่างการทำแซนด์วิชเองกับการจัดปาร์ตี้แบบนำอาหารมาแชร์กันโดยขอให้แขกแต่ละคนนำอาหารมาคนละอย่างด้วย ในทำนองเดียวกัน การแบ่งภาระงานของสมาชิกแต่ละคนในทีมอาจช่วยเร่งอัตราความคืบหน้าของงานได้

แน่นอนว่าสิ่งนี้ต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการที่นำมาใช้เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพด้วย ทว่าสิ่งเหล่านี้อาจเป็นเรื่องง่ายพอๆ กับการกำหนดวันนำเสนอหรืออนุมัติไอเดีย หรือการสร้างโฟลเดอร์ที่แชร์ได้เพื่อให้สมาชิกในทีมหลายๆ คนทำงานร่วมกันในโปรเจ็กต์นั้นๆ ได้

โอกาสในการทบทวนสิ่งต่างๆ

กี่ครั้งแล้วที่คุณหลับไปพร้อมกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นไอเดียเจ๋งๆ เพียงเพื่อที่จะตื่นขึ้นมาในวันถัดไปและพบว่าสิ่งนั้นห่างไกลจากคำว่าเจ๋งอย่างสิ้นเชิง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการให้เวลาและพื้นที่ในการทบทวนตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ การพูดคุยไอเดียกับผู้อื่นเป็นเวลาหลายๆ วัน สัปดาห์ หรือกระทั่งเป็นเดือนๆ ไม่เพียงช่วยให้ไอเดียค่อยๆ พัฒนาไปตามธรรมชาติอย่างไม่รีบเร่ง แต่ยังช่วยให้คุณมีโอกาสได้เฝ้าสังเกตความเกี่ยวข้องระหว่างไอเดียนั้นกับตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย

การทบทวนตัวเองไม่ได้ส่งผลดีแค่กับตัวไอเดียเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สมาชิกในทีมได้เรียนรู้จากวิธีการและกระบวนความคิดของกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดคุณค่าต่อองค์กรในภาพรวมด้วย

การส่งเสริมความเปิดกว้าง

ความสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องพึ่งพาพนักงานที่มีส่วนร่วมกับองค์กร ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นใจในเรื่องความพึงพอใจในหน้าที่การงานได้ก็คือการให้พนักงานได้มีสิทธิ์มีเสียง การช่วยให้เพื่อนร่วมงานได้สื่อสารกันและการส่งเสริมให้พนักงานได้นำเสนอไอเดียและข้อกังวลของตนเองจะทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่า ทั้งยังเป็นการส่งเสริมความรู้สึกถึงความเป็นประชาธิปไตยและความโปร่งใส ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำแนวคิดที่ว่า "เราจะก้าวไปด้วยกัน"

แบบสำรวจที่จัดทำโดย Fierce ระบุว่า 99.1% ของผู้ที่ตอบโพลล์กล่าวว่า ตนชอบที่ทำงานที่แต่ละคนสามารถพูดคุยและหารือเกี่ยวกับปัญหาได้อย่างตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพมากกว่า นอกจากนี้ อีกหนึ่งการศึกษาจาก Gusto ยังด้วยพบว่า 54% ของพนักงานกล่าวว่า ความรู้สึกเป็นชุมชนที่เหนียวแน่น (รวมถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเพื่อนร่วมงานและพันธกิจที่มีร่วมกัน) ช่วยให้พวกเขาทำงานกับบริษัทนานกว่าที่ตั้งใจไว้

พลวัตของทีมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความหลากหลายและเปิดกว้าง มีการนำเสนอมุมมองที่หลากหลายในโปรเจ็กต์นั้นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและหลีกเลี่ยงอันตรายจากการคิดแบบติดกลุ่ม

การควบคุมคุณภาพ

ไม่ว่าสมาชิกในทีมจะเก่งในสิ่งที่ทำอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ และหากพวกเขามุ่งความสนใจไปที่สิ่งสิ่งเดียวติดกันหลายชั่วโมง พวกเขาก็อาจลืมมองภาพรวมไปได้ง่ายๆ จนเปิดช่องว่างให้เกิดข้อผิดพลาด

การส่งเสริมการทำงานร่วมกันจะทำให้คุณเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมได้นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแต่ละคนมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลงานที่ออกมานั้นจะมีคุณภาพสูงอยู่เสมอ

วิธีส่งเสริมการทำงานร่วมกันและนวัตกรรมในที่ทำงาน

วิธีส่งเสริมการทำงานร่วมกันและนวัตกรรมในที่ทำงาน

แนวคิดเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมนั้นอาจฟังดูดีอย่างยิ่งในเชิงหลักการ แต่คุณจะไปถึงจุดนั้นจริงๆ ได้อย่างไร สิ่งแรกๆ ที่คุณจะต้องพิจารณาและนำไปปรับใช้คือลักษณะนิสัยของผู้คนที่เกี่ยวข้อง

การศึกษาในปี 2020 ที่เผยแพร่ใน International Journal of Research in Management & Business Studies ได้ชี้ให้เห็นถึง 3 คุณลักษณะสำคัญที่จะกระตุ้นพฤติกรรมการสร้างสรรค์ในหมู่นักศึกษาด้านธุรกิจ ดังนี้

  • ความสนใจต่อสิ่งภายนอก

  • ความรอบคอบระมัดระวัง

  • การเปิดรับประสบการณ์

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนในที่ทำงานจะแสดงลักษณะเหล่านี้ออกมา เว้นแต่ฝ่ายบุคคลจะมองหาสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะเมื่อว่าจ้างพนักงาน

ความท้าทายที่จะตามมาก็คือการส่งเสริมให้ผู้คนทำงานร่วมกันและสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำเป็นปกติอยู่ก่อนแล้ว วิธีการที่ต่างกันจะให้ผลดีไม่เท่ากันกับแต่ละคน ทว่าก็มีบางวิธีการที่อาจให้ผลดีกับใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นการให้พนักงานได้พูดคุยกับผู้ให้คำแนะนำที่เคยก้าวข้ามอุปสรรคที่คล้ายๆ กันมาก่อน การผลักดันนโยบายที่เปิดกว้างที่ให้พนักงานสามารถเข้าพบผู้จัดการได้ทุกเมื่อ และการจัดเซสชั่น 'ระดมสมอง' ที่ทุกคนสามารถบอกเล่าความคิดและไอเดียของกันและกันได้

แม้ว่าคุณควรส่งเสริมเรื่องความเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม Jacob Torfing แนะนำว่าคุณเองก็ควรคำนึงถึงสิ่งพื้นฐานต่างๆ อยู่เสมอด้วยเช่นกัน "ถ้าจะให้ดี ไอเดียควรเป็นภาพกว้างๆ ที่ชัดเจนและสามารถเปลี่ยนแปลงได้" เขาเขียนอธิบาย "ในขณะเดียวกันก็ควรจะลงมือทำได้จริง ปลอดภัย และได้รับการยอมรับในวงกว้างจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนหลักๆ"

แน่นอนว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เปลี่ยนและยังคงเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเราอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเดียวกัน ตึกเดียวกัน เมืองเดียวกัน หรือแม้แต่ประเทศเดียวกันอีกต่อไปเพื่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง และผู้คนในอุตสาหกรรมเดียวกัน

แบบสำรวจที่จัดทำโดย Gartner ในปี 2021 เผยว่า เกือบ 80% ของพนักงานใช้เครื่องมือสำหรับทำงานร่วมกันในการทำงาน ซึ่งทำให้พวกเขาแชร์ไอเดียและคอนเซปต์ต่างๆ แบบข้ามพรมแดน โซนเวลา และแม้แต่ภาษาต่างๆ ได้ทันที สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะเร่งให้กระบวนการต่างๆ ดำเนินไปได้เร็วขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงผู้คนจากทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งเสริมสร้างพลังในการทำงานร่วมกันตามมาอีกด้วย

"ในขณะที่องค์กรต่างๆ จำนวนมากหันมาใช้โมเดลบุคลากรแบบไฮบริดในระยะยาว เทคโนโลยีด้านผลิตภาพทั้งส่วนบุคคลและในรูปแบบทีมบนระบบคลาวด์ รวมถึงเครื่องมือสำหรับทำงานร่วมกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญของพื้นที่ทำงานรูปแบบใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของพนักงานที่ทำงานจากทางไกลและทำงานแบบไฮบริดทั้งหลาย" Christopher Trueman ผู้ดำรงตำแหน่ง Principal Research Analyst จาก Gartner กล่าว

นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เมตาเวิร์สให้คำมั่นสัญญาว่าจะมอบการทำงานร่วมกันในรูปแบบความเป็นจริงผสมให้กับทีมที่ทำงานจากทางไกล ซึ่งในอนาคตเหล่าคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดจะสามารถ 'เทเลพอร์ต' ไปที่การประชุมต่างๆ ได้แบบข้ามพรมแดน เครื่องมือต่างๆ อย่างไวท์บอร์ดเสมือนและหน้าจอต่างๆ จะสามารถสร้างพื้นที่ส่วนกลางแสนอัศจรรย์พร้อมศักยภาพในการเร่งกระบวนการสร้างสรรค์/คิดไอเดียได้ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เราบรรลุเป้าหมายด้านนวัตกรรมได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าศักยภาพนั้นมีอยู่มากมายมหาศาล

อ่านต่อ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

การทำงานร่วมกันของทีม: วิธีเป็นสุดยอดเพื่อนร่วมงานประจำทีม

เรียนรู้เพิ่มเติม

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

การทำงานร่วมกันของทีม: วิธีเป็นสุดยอดเพื่อนร่วมงานประจำทีม

เรียนรู้เพิ่มเติม

โพสต์ล่าสุด

การทำงานเป็นทีม | ใช้เวลาอ่าน 10 นาที

วิธีสร้างความร่วมมือในทีม

แนวทางการทำงานร่วมกันสามารถช่วยให้พนักงานของคุณทำงานอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น สร้างสรรค์กว่าเดิม และมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ นี่คือวิธีทำให้ความร่วมมือในทีมประสบความสำเร็จ

ความร่วมมือในทีม | ใช้เวลาอ่าน 3 นาที

การทำงานร่วมกันแบบหลายฝ่าย

ค้นพบเคล็ดลับที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานร่วมกันแบบหลายฝ่าย รวมถึงประโยชน์ของมุมมองที่หลากหลายและวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานเป็นทีมในที่ทำงานของคุณ

ความร่วมมือในทีม | ใช้เวลาอ่าน 8 นาที

วิธีทำให้การทำงานร่วมกันแบบข้ามทีมมีประสิทธิภาพ

เรียนรู้วิธีกระตุ้นการทำงานร่วมกันแบบข้ามทีม รวมถึงทำความเข้าใจหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดและข้อผิดพลาดเพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันในทีมของคุณให้ดีขึ้น