การไม่แบ่งแยกคืออะไรและแตกต่างจากความหลากหลายอย่างไร

องค์กรของคุณมีความเปิดกว้างมากแค่ไหน และมันหมายถึงอะไรกันแน่ เราจะมาเจาะลึกกันว่าทำไมการไม่แบ่งแยกจึงเป็นกุญแจในการพัฒนาพนักงานที่มีความหลากหลายและมีการเติบโต

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 7 นาที

บ่อยครั้งที่ผู้คนมักใช้คำว่า "การไม่แบ่งแยก" และ "ความหลากหลาย" ในความหมายเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วสองคำนี้แตกต่างกันมาก ในขณะที่ "ความหลากหลาย" สื่อถึงสิ่งที่แสดงออก "การไม่แบ่งแยก" จะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมมากกว่า ทั้งสองสิ่งนี้เมื่อรวมเข้าด้วยกันจะเป็นสูตรแห่งความสำเร็จของวัฒนธรรมบริษัท

ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้นำธุรกิจต่างๆ ควรรู้และเข้าใจแนวคิดทั้งสองนี้ การศึกษาแสดงให้เห็นว่า การมีสมดุลที่เหมาะสมของบุคลากรจากพื้นเพและวัฒนธรรมที่หลากหลายจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้มากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งนี้จะช่วยให้พนักงานเข้าใจสังคมที่มีวัฒนธรรมหลากหลายได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารกับลูกค้าให้มากขึ้น

รายงานฉบับล่าสุดของ McKinsey เกี่ยวกับความหลากหลาย แสดงให้เห็นว่า บริษัทที่มีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์สูงมีประสิทธิภาพการทำงานดีกว่าถึง 36% เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีความหลากหลายน้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศสูงมีประสิทธิภาพการทำงานดีกว่าถึง 25% เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีความหลากหลายน้อยกว่า

เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร

ดาวน์โหลดเคล็ดลับมืออาชีพทั้ง 6 ข้อเพื่อค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการมีส่วนร่วมของพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร

อะไรคือความแตกต่างระหว่างความเปิดกว้างและการไม่แบ่งแยก

อะไรคือความแตกต่างระหว่างความเปิดกว้างและการไม่แบ่งแยก

เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าองค์กรจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไรบ้าง สิ่งแรกคือเราจำเป็นต้องเจาะลึกไปลงถึงความแตกต่างระหว่างความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก

ความหลากหลายมุ่งเน้นที่ปัจจัยภายนอกของพนักงาน ความหลากหลายคือการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในหมู่พนักงาน ไม่ว่าจะด้านอายุ เพศ ชาติพันธุ์ ศาสนา ความพิการ รสนิยมทางเพศ การศึกษา หรือชาติกำเนิด พนักงานแต่ละคนต่างมีชุดความคิด ความเชื่อ และแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในสถานที่ทำงาน

การไม่แบ่งแยกเป็นสิ่งที่ให้คำจำกัดความยากกว่า เนื่องจากเป็นสิ่งที่มองเห็นได้น้อยกว่า แต่มันคือการให้คุณค่าและให้ความเคารพบุคลากรจากต่างพื้นเพ และยอมรับในสิ่งที่หล่อหลอมแต่ละบุคคลขึ้นมา เมื่อพนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและมีคนมองเห็นความสำคัญในแบบที่ตัวเองเป็น พวกเขาก็จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับค่านิยมขององค์กร ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตัวองค์กรเองด้วยเช่นกัน

ถ้าจะให้สรุปความแตกต่างระหว่าง "ความหลากหลาย" และ "การไม่แบ่งแยก" ในประโยคเดียว ก็อาจจะต้องขอยืมคำพูดอันโด่งดังของ Verna Myers นักวิพากษ์สังคมชาวอเมริกัน ที่กล่าวว่า "ความหลากหลายคือการได้รับคำเชิญไปงานปาร์ตี้ ส่วนการไม่แบ่งแยกคือการมีคนชวนเต้นรำ"

บางคนอาจจะมองว่าคำพูดนี้เป็นการพูดเรื่องที่ยากและซับซ้อนให้ดูง่ายจนเกินไป เพราะคุณไม่จำเป็นต้องมีคนชวนก็สามารถเต้นรำได้ แต่จุดสำคัญที่ควรเก็บไปคิดก็คือ ความหลากหลายไม่ได้ทำให้เราเกิดความรู้สึกของการไม่แบ่งแยกโดยอัตโนมัติ เช่น แม้ว่าผู้หญิงบางคนอาจจะมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูง แต่ก็อาจไม่ได้รู้สึกว่าได้รับการยอมรับด้วยความเปิดกว้างจริงๆ เพราะความเหลื่อมล้ำในด้านค่าตอบแทนหรือด้วยวัฒนธรรม 'ผู้ชนะได้ทุกอย่าง' ของบุรุษ

Inclusive workplace

กำจัดความสับสนเกี่ยวกับความไม่แบ่งแยก

เหตุใดความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกจึงสำคัญ

เหตุใดความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกจึงสำคัญ

เมื่อองค์กร 75% กล่าวว่าตนมองว่าความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หมายความบรรดาผู้นำมีแนวคิดเห็นพ้องต้องกันว่าคุณลักษณะทั้งสองประการนี้มีความสำคัญ ไม่ว่าอย่างไร คุณลักษณะทั้งสองก็นำมาซึ่งผลประโยชน์ต่อสถานที่ทำงาน โดยมีทั้งหมด 4 ด้าน ดังนี้

  • เกิดนวัตกรรมมากขึ้น

    ทีมที่มีความหลากหลายจะมีแนวคิดใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า เป็นอานิสงส์จากการผสมผสานมุมมองและทักษะที่ติดตัวสมาชิกแต่ละคนมา ในสภาพแวดล้อมที่ไม่แบ่งแยก ทุกคนจะรู้สึกสะดวกใจที่จะพูดหรือแชร์ความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งจะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ สำหรับการระดมความคิดและการหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ส่งผลให้ธุรกิจได้มีวิสัยทัศน์ที่สดใหม่

  • ขอบเขตความสามารถที่กว้างกว่าเดิม

    ความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกคือคุณลักษณะที่คนส่วนมากมองหาขณะที่สมัครงาน ในความเป็นจริงแล้ว 83% ของผู้สมัครงานที่เป็นคนเจน Z กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของบริษัทในด้านความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกนายจ้าง1


    ผู้สมัครงานที่กำลังชั่งใจว่าจะร่วมงานกับองค์กรดีหรือไม่ ต้องการที่จะเห็นคนอื่นๆ ที่มีลักษณะเหมือนตัวเองในตำแหน่งระดับผู้บริหาร และมักถูกดึงดูดโดยวัฒนธรรมองค์กรที่ให้คุณค่ากับแนวคิดและความเชื่อที่แตกต่าง จากมุมมองของนายจ้าง การจ้างบุคลากรจากพื้นเพที่หลากหลายจะช่วยให้คุณมีตัวเลือกด้านความสามารถให้เลือกใช้ได้มากขึ้น

  • พนักงานที่มีความสุขกว่าที่เคย

    การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกจะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีความสุขและความสบายใจ บุคลากรที่มีความพึงพอใจมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำงานได้มาตรฐานสูงกว่าบุคลากรที่ไม่มีความสุข พนักงานที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้จะเติบโตในหน้าที่ของตัวเองและทำงานเป็นทีมได้ดี ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของคุณงอกงามและดำเนินงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

  • ลูกค้ามีความสุขมากกว่าที่เคย

    การให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความไม่แบ่งแยกไม่ได้มีประโยชน์กับภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย การทำการตลาดของบริษัทกับลูกค้าที่มีพื้นเพหลากหลายจะง่ายขึ้นมากเมื่อวัฒนธรรมของในองค์กรคุณมีความหลากหลายงอกงามอยู่แล้ว ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจในด้านความเปิดกว้าง คุณจะสามารถเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อลูกค้า ผู้ใช้บริการ และซัพพลายเออร์ไปพร้อมๆ กันได้

แต่ความหลากหลายเพียงอย่างเดียวไม่พอ แท้จริงแล้ว ความหลากหลายอาจทำให้เกิดปัญหาในด้านความแตกต่างของบุคลากรมากกว่าที่จะทำให้สามัคคีกัน และหากไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะทำให้ต้องลำบากหาพนักงานใหม่จนเหนื่อย

ไม่ว่าจะมีบุคลากรที่หลากหลายแค่ไหนก็ตาม แต่คงไม่มีใครอยากนำเสนอแนวคิดและประสบการณ์ที่หลากหลายของตัวเอง หากพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กร และบ่อยครั้งเมื่อพวกเขาออกจากองค์กรไป ผู้คนเหล่านั้นก็จะพูดถึงคุณในทางที่ไม่ดี

แบบสำรวจของ McKinsey แสดงให้เห็นว่าแม้แต่องค์กรที่มีความหลากหลายก็ยังมีปัญหาในการสร้างการไม่แบ่งแยก จากการสำรวจพบว่าความรู้สึกโดยรวมเกี่ยวกับความหลากหลายอยู่ที่ 52% ในเชิงบวก แต่ความรู้สึกโดยรวมด้านความเปิดกว้างกลับน้อยกว่ามาก โดยมีเพียง 29% เท่านั้น ซึ่งเป็นช่องว่างที่ห่างมากพอควร

ไม่พลาดทุกการสื่อสาร

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย คุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

ความจำเป็นที่มากขึ้นสำหรับความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก

ความจำเป็นที่มากขึ้นสำหรับความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก

ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนที่สุดช่วงหนึ่งที่เราทุกคนเคยได้เผชิญมา แต่ก็เกิดการผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่อมุ่งเน้นที่ความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกในที่ทำงาน

เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร นี่คือ 5 เรื่องที่ช่วยเปลี่ยนแปลงบทสนทนาเกี่ยวกับความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก

  1. Black Lives Matter

    การประท้วงต่อเหตุการณ์การเสียชีวิตของ George Floyd ได้ชี้ให้เห็นถึงความร้ายแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันที่มีอยู่ในสังคม เมื่อผู้คนไม่หยุดที่จะพูดต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ เราจึงได้รับรู้เรื่องราวตีแผ่ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในที่ทำงานด้วย


    การเคลื่อนไหวในประเด็น BLM นี้ยังชี้ให้เห็นการไร้ซึ่งคนผิวสีในตำแหน่งบริหารระดับสูงของบริษัทต่างๆ ในปี 2020 ไม่มีผู้หญิงผิวสีนั่งตำแหน่งบริหารในสุดยอดบริษัท 500 แห่งของ Fortune เลย ในปี 2021 เพิ่มมาเป็น 2 คน คือ Rosalind Brewer แห่ง Walgreens และ Thasunda Brown Duckett แห่ง TIAA

  2. การประกาศวัน Juneteenth

    วัน Juneteenth ได้รับการลงนามรับรองโดยประธานาธิบดี Joe Biden ในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ให้เป็นวันหยุดราชการใหม่ในสหรัฐฯ โดยเป็นวันเฉลิมฉลองอิสรภาพของทาสเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน และ Biden หวังว่าวันดังกล่าวจะเป็น "จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เราปฏิบัติต่อกันและกัน"


    แบรนด์ใหญ่ๆ หลายแบรนด์ก็ร่วมขบวนเฉลิมฉลองวันหยุดนี้ด้วย เอเจนซี่โฆษณาระดับโลกอย่าง WPP ใช้วัน Juneteenth นี้เพื่อมอบทุนสนับสนุนแก่ความพยายามสร้างการไม่แบ่งแยกภายในบริษัทเพื่อการต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ ขณะที่ Facebook จัดสรรเงิน 2 ล้านดอลลาร์จากกองทุนเพื่อธุรกิจขนาดเล็กเพื่อนำไปสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กที่มีผู้หญิงผิวดำเป็นเจ้าของ

  3. นวัตกรรมในด้าน AI

    ในอดีต การค้นหาออนไลน์ด้วยคำว่า 'รูปมือ' จะพบแต่ผลลัพธ์ที่เป็นมือคนผิวขาวแทบทั้งสิ้น และการค้นหา 'มือคนผิวดำ' ก็จะพบรูปมือคนผิวขาวยื่นออกไปช่วยเหลือมือคนผิวดำ ในทางเดียวกัน เว็บไซต์องค์กรส่วนมากก็จะมีแค่รูปของผู้ชายผิวขาวใส่ชุดสูท แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ผู้คนจากภาคส่วนอื่นๆ ของสังคมรู้สึกถูกกีดกัน


    ที่ผ่านมา ผู้ที่ออกแบบอัลกอริทึมของ AI และหน้าเว็บต่างๆ มักเป็นผู้ชายผิวขาวโดยตลอด ถึงแม้ว่านี่จะไม่ได้เป็นการบ่งชี้ว่าคนกลุ่มนี้มีอคติ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่พวกเขาสะท้อนภาพของตัวเองลงใน AI ที่สร้างขึ้น ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทำให้เกิดประเด็นสนทนาใหม่ๆ เกี่ยวกับการเหมารวมและอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว และในปัจจุบัน คุณจึงพบเห็นความหลากหลายของผู้คนที่ปรากฏในรูปภาพออนไลน์และในการโฆษณามากขึ้น

  4. การเหยียดหยามโดยไม่รู้ตัวและเอกสิทธิ์

    เมื่อสังคมเริ่มหันมาตระหนักถึงประเด็นของ 'การเหยียดหยามโดยไม่รู้ตัว' และ 'เอกสิทธิ์คนขาว' มากขึ้น จึงทำให้ผู้คนต้องฉุกคิดถึงการแสดงออกของตนเองที่มีต่อผู้อื่น


    การเหยียดหยามโดยไม่รู้ตัวหมายถึงการโต้ตอบในชีวิตประจำวันทั่วไป ซึ่งส่วนมากมักเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกถูกเหยียดหยาม เช่น การถามเพื่อนร่วมงานผิวดำว่ามีพื้นเพมาจากไหน ขณะที่เอกสิทธิ์คนขาวหมายถึงข้อได้เปรียบที่มีเหนือคนผิวสี เช่น ไม่ต้องกังว่าจะถูกตำรวจโบกเรียกให้จอดเมื่อขับรถราคาแพง สำหรับคนที่ไม่ได้มีความพิการ เอกสิทธิ์อาจหมายถึงการมีสิทธิ์ทางร่างกายที่เข้าถึงอาคารหรือพื้นที่จอดรถได้มากกว่า องค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่าการตัดสินใจหรือการดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไรบ้าง

  5. การทำงานจากทางไกล

    การเติบโตของระบบทำงานจากทางไกลและการทำงานที่บ้านเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างการไม่แบ่งแยก ด้วยชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่นและโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้ที่มีความสามารถสูงได้มากขึ้น เช่น ผู้คนที่ไม่มีเงินซื้อรถก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ทำงาน พ่อแม่ที่ทำงานก็มีโอกาสที่จะดูแลลูกระหว่างที่ทำงานไปด้วยได้ ผู้ที่มีความพิการทางร่างกายในตอนนี้ก็สามารถทำงานหลายๆ อย่างได้อย่างสะดวกใจในบ้านของตนเอง

“หากความหลากหลายเป็นเหมือนคำเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้ และการไม่แบ่งแยกเหมือนการมีคนชวนเต้นรำ เช่นนั้นแล้ว การมีตัวตนก็คือการเต้นรำได้อย่างเต็มที่เหมือนไม่มีใครมอง ”

DEI และบทบาทของความเสมอภาค

DEI และบทบาทของความเสมอภาค

นอกจากความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกแล้ว ยังมีอีกคำที่มีความสำคัญไม่แพ้กันในการทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมในที่ทำงาน ซึ่งก็คือ "ความเสมอภาค"

ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ DEI (ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่แบ่งแยก) จะมีโอกาสที่ดีกว่าในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถจากกลุ่มคนที่มักถูกมองข้าม

DEI ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่ความเสมอภาคและการไม่แบ่งแยกเป็นส่วนที่บริษัทต่างๆ มักมีปัญหาในการนำไปใช้ให้ถูกวิธี ในสถานที่ทำงานที่มีความหลากหลาย ความเสมอภาคคือการสร้างความยุติธรรมกันในด้านการเข้าถึงและโอกาสสำหรับพนักงานทุกคนโดยอิงจากความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น พนักงานที่มีความพิการอาจต้องการทรัพยากรที่แตกต่างจากพนักงานที่ไม่มีความพิการในการทำงานเดียวกัน ทุกคนควรได้รับพื้นที่ให้แสดงฝีมือและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเท่าๆ กัน

คุณต้องคอยสนับสนุนให้บุคลากรแสดงออกถึงมุมมองที่แตกต่างของตนเอง คุณต้องการให้พวกเขาพูดออกมาได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องรอคำเชิญ และคุณต้องการให้พวกเขามีโอกาสที่ยุติธรรมที่จะประสบความสำเร็จ การสร้างความรู้สึกของการมีตัวตนจะช่วยพลิกโฉมวัฒนธรรมการทำงานทั้งหมด

คุณอาจพูดได้ว่า "หากความหลากหลายเป็นเหมือนคำเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้ และการไม่แบ่งแยกเป็นเหมือนการมีคนชวนเต้นรำ เช่นนั้นแล้ว การมีตัวตนก็คือการเต้นรำได้อย่างเต็มที่เหมือนไม่มีใครมอง"

เป้าหมายคือการให้อิสรภาพกับทุกคนในการเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงานโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกมองไม่ดีหรือถูกกีดกัน

อ่านต่อ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ค้นพบข่าวสารล่าสุดของ Workplace ในห้องข่าว

เรียนรู้เพิ่มเติม
1 "What workforce diversity means for Gen Z." Monster, ไม่ระบุวันที่
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

โพสต์ล่าสุด

ข่าวสารจาก Workplace | ใช้เวลาอ่าน 4 นาที

Workplace มีอายุ 5 ปีแล้ว!

เนื่องในการเฉลิมฉลองวันคล้ายเกิดของเรา เราได้จุดประกายและเผย 5 วิธีที่เราช่วยกันสร้างอนาคตของการทำงานให้เป็นรูปเป็นร่าง

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 8 นาที

ค่านิยมขององค์กรคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญ

ค่านิยมขององค์กรสามารถชี้นำทิศทางแก่พนักงานและให้เหตุผลที่จะเชื่อมั่นแก่ลูกค้า ดูวิธีพัฒนาและสื่อสารค่านิยมขององค์กร

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 8 นาที

เหตุใดความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกจึงมีความสำคัญ

ความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญในการทำงาน เราจะมาสำรวจว่าบริษัทใหญ่ๆ รวมถึงตัวคุณเองจะจัดการกับปัญหาสำคัญเหล่านี้อย่างไร