การมีส่วนร่วมกับพนักงานที่ทำงานจากทางไกล: วิธีการและความสำคัญ
การมีส่วนร่วมกับพนักงานที่ทำงานจากทางไกลอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ก็มีวิธีที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพที่จะใช้เชื่อมต่อกับผู้คนที่สามารถก่อให้เกิดผลดีต่อผลิตภาพส่วนบุคคลและการตระหนักในเป้าหมายอยู่เช่นกัน เรามาลองดูไปด้วยกัน
ความท้าทายของการมีส่วนร่วมกับพนักที่ทำงานจากทางไกล
ยุคใหม่ของการทำงานแบบผสมสานและการทำงานจากทางไกลส่งผลให้เกิดความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระมากขึ้น แม้เราทุกคนจะเคยประสบกับความท้าทายมาแล้วในปี 2020 แต่หลายคนก็ยังคงกล่าวว่าความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตของพวกเขาดีขึ้นในปีนี้
แต่กระนั้นก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน การศึกษาต่างๆ แสดงให้เห็นว่า 70% ของผู้ที่ทำงานจากทางไกลอาจรู้สึก 'แปลกแยก' จากที่ทำงาน มนุษย์ต้องการการเชื่อมต่อเพื่อที่จะเติบโต ดังนั้น เราจึงต้องใช้ความคิดมากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนจะเชื่อมต่อถึงกัน เนื่องจากเราไม่มีพื้นที่ทางกายภาพที่พนักงานสามารถใช้ในการพบปะแบบตัวต่อตัวร่วมกันได้ อีกทั้งพนักงานที่ทำงานจากทางไกลบางคนก็ต้องทำงานกับทีมที่ตนไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ส่งผลให้เกิดอุปสรรคในการเชื่อมต่อที่แท้จริงมากขึ้นและทำให้บางคนรู้สึกแปลกแยกจากวัฒนธรรมของบริษัท
ความท้าทายเหล่านี้เคยเกิดขึ้นเฉพาะกับพนักงานที่ทำงานในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ ความท้าทายเหล่านี้ได้แพร่กระจายออกไปสู่พนักงานในวงกว้างขึ้น ข่าวดีก็คือตอนนี้เรามีเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและการมีส่วนร่วมของพนักงานให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลของคุณได้ใช้กันแล้ว มาดูกันว่าเครื่องมือเหล่านั้นทำงานอย่างไร
แก้งานยุ่งได้ไม่ยากด้วย Workplace
ไม่ว่าคุณจะต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับการกลับสู่ที่ทำงาน หรือนำวิธีการทำงานแบบผสมผสานไปปรับใช้ Workplace ก็สามารถทำให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้
9 เคล็ดลับในการทำให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลไม่รู้สึกแปลกแยก
1. อัพเดตข่าวสารให้ผู้คนทราบอยู่เสมอ
การอัพเดตข่าวสารให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลทราบอยู่เสมอในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่บ่อยครั้งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการลดความรู้สึกไม่มั่นคงหรือความวิตกกังวลที่พวกเขาอาจพบเจออยู่ ลองทำให้การอัพเดตข่าวสารเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสื่อสารทางธุรกิจของคุณเพื่อแชร์ข่าวสารของบริษัทกับพนักงานก่อนที่จะประกาศต่อสาธารณะ เพื่อให้พนักงานมีโอกาสถามคำถามและให้ข้อเสนอแนะ
2. สนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีทั้งในชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน
ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นอยู่อาจไม่สามารถมองเห็นกันได้ง่ายนักเมื่อผู้คนทำงานทางออนไลน์ ดังนั้น จงเรียนรู้ที่จะมองหาสัญญาณที่บ่งชี้ว่าพนักงานที่ทำงานจากทางไกลอาจกำลังประสบปัญหาอยู่ จากนั้นจึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งนี้ สัญญาณที่บ่งบอกว่าใครบางคนกำลังประสบกับ 'ความเหนื่อยหน่ายจากการอยู่คนเดียว' อาจเป็นได้ทั้งการปิดกล้อง การไม่เข้าประชุม และการโทรมาลาป่วย
การให้สิทธิ์การเข้าถึงและให้เงินทุนสำหรับการฝึกอบรมเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีทั้งด้านชีวิตส่วนตัวและด้านอาชีพการงาน และเมื่อไม่ต้องเดินทาง พนักงานก็อาจมีเวลาเข้าร่วมหลักสูตรต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้ ลองส่งเสริมให้พนักงานพูดคุยเกี่ยวกับความสนใจที่นอกเหนือจากเรื่องงาน เพื่อแสดงว่าคุณให้คุณค่ากับพวกเขาในฐานะบุคคล ไม่ใช่แค่ทรัพยากร
3. ช่วยให้พนักงานรู้สึกมีแรงบันดาลใจ
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลของคุณรู้สึกมีแรงบันดาลใจในทุกโอกาสที่ทำได้ ตัวอย่างเช่น ทำให้พวกเขารู้สึกมีอิสระ ให้ชั่วโมงการทำงานและรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น และให้พวกเขาตัดสินใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การถามว่าต้องการพูดคุยด้วยการใช้วิดีโอคอลหรือการโทรด้วยเสียง
4. ช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร
การทำให้ผู้คนเข้าใจวัฒนธรรมของบริษัทอาจเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ การทำงานแบบผสมผสานที่เติบโตขึ้นก็อาจทำให้ผู้จัดการบุคลากรหน้างานประสบปัญหาในการสื่อสารเกี่ยวกับสาระสำคัญของวัฒนธรรมทางออนไลน์ หรือพบว่าการทำให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนั้นเป็นเรื่องยากได้เช่นกัน
ลองส่งเสริมให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลและพนักงานที่ไม่มีโต๊ะทำงานเป็นผู้กำหนดค่านิยมของบริษัทเพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งมากขึ้น และดูว่าค่านิยมเหล่านั้นมีการพัฒนาไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน คุณอาจต้องให้ความสำคัญกับค่านิยมของบริษัทในแพลตฟอร์มการสื่อสารต่างๆ ของคุณมากกว่าปกติ แทนที่จะพึ่งพา 'ความรู้สึก' เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมักจะได้ผลเมื่อทุกคนอยู่ในสถานที่เดียวกัน ตัวอย่างเช่น เริ่มการประชุมประจำสัปดาห์ด้วยการเน้นที่ค่านิยมหลักสักหนึ่งข้อและขอให้ผู้คนอธิบายว่าตนเองปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้นในช่วงที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง รวมทั้งพยายามหาวิธีชมเชยหรือให้รางวัลแก่ความพยายาม เช่น ของขวัญหรือรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นต้น
5. ส่งเสริมให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลได้ติดต่อสื่อสารกัน
กระตุ้นให้เกิดการสอบถามสารทุกข์สุกดิบระหว่างสมาชิกในทีม เช่น ช่วงพักดื่มกาแฟออนไลน์ การอยู่ในกลุ่มเล็กๆ จะสามารถเพิ่มความสนิทสนมและความไว้วางใจได้ดีกว่า ดังนั้นสำหรับทีมขนาดใหญ่ การมีกลุ่มพักดื่มกาแฟย่อยๆ หลายกลุ่มและหมุนเวียนสมาชิกไปในทุกๆ สัปดาห์ก็อาจจะได้ผลดีด้วยเหมือนกัน และสำหรับสมาชิกใหม่ในทีม การหาบัดดี้ให้พวกเขาก็อาจช่วยได้เช่นกัน
ขณะนี้ การพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับผู้จัดการมีความสำคัญมากกว่าช่วงเวลาไหนๆ ดังนั้นอย่าเปิดเผยเรื่องราวที่คุยกันให้ผู้อื่นรู้ รวมไปถึงใช้นโยบายที่เปิดกว้างและให้ทางเลือกในการติดต่อสื่อสารกับคุณแก่พนักงานที่ทำงานจากทางไกล เพื่อให้พวกเขาสามารถเลือกใช้ช่องทางที่ตนเองสะดวกได้
6. รับฟังความคิดเห็นของทุกคน
พนักงานที่ไม่มีโต๊ะทำงาน เช่น พนักงานในโรงงาน ร้านค้า และบนท้องถนน ไม่ใช่พนักงานที่ไร้สิทธิ์ไร้เสียง แต่ความคิดเห็นของพวกเขาก็อาจจะถูกละเลยไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกว่าตนถูกเมินเฉยหรือไม่เห็นคุณค่าได้ นอกจากนี้ยังหมายความว่าองค์กรต่างๆ กำลังพลาดไอเดียและสิ่งสร้างสรรค์ใหม่ๆ จากพวกเขาไปด้วย
เมื่อคำนึงถึงการเป็นส่วนหนึ่งของพนักงานที่ทำงานจากทางไกล ให้คุณจัดลำดับความสำคัญของวิธีการแสดงความคิดเห็นโดยใช้แพลตฟอร์มโซเชียลบนมือถือ รวมถึงวิธีการแบบดั้งเดิม เช่น แบบสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน ลองจัดสรรเวลาในการประชุมเพื่อพูดคุยกับพนักงานที่ทำงานจากทางไกลหรือไม่มีโต๊ะทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขารู้สึกไม่มีส่วนร่วมหรือขาดการติดต่อ เมื่อพวกเขาพูด ให้ตั้งใจรับฟังและให้ข้อเสนอแนะที่สร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนพยายามทำแบบเดียวกันนี้เมื่อพวกเขาส่งอีเมลหรือข้อความเข้ามาในแชทของทีม การให้ข้อเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถให้ความสำคัญและสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานได้อย่างแท้จริง
7. ทำกิจกรรมสนุกๆ เพื่อมีส่วนร่วมกับพนักงานที่ทำงานจากทางไกล
สร้างกิจกรรมตามที่ได้วางแผนไว้และส่งเสริมการทำกิจกรรมเบาสมองระหว่างสมาชิกในทีม ซึ่งบางบริษัทก็จะเล่นทายปัญหาเชาว์สั้นๆ เป็นประจำ จัดชมรมหนังสือ หรือมีค่ำคืนแห่งการร้องคาราโอเกะ เป็นต้น หากต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วม ให้ลองจัดสรรงบประมาณสำหรับช่วงเวลาแห่งการสานสัมพันธ์เหล่านี้และสนับสนุนให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลของคุณผลัดกันเลือกธีม รวมถึงให้อิสระแก่พวกเขาในการใช้งบประมาณด้วย
8. กำหนดเวลาการทำงานแบบผสมผสานเพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อให้สูงสุด
ชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่นเป็นองค์ประกอบสำคัญของความพึงพอใจของพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพนักงานที่ทำงานจากทางไกลและพนักงานที่ไม่มีโต๊ะทำงานจำนวนมากมีสิ่งอื่นๆ ที่ต้องให้ความสำคัญและมีภาระต่างๆ ที่พวกเขาไม่ได้มีในช่วงเวลาปกติ ทว่าพนักงานเหล่านี้อาจรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดการเชื่อมต่อมากขึ้นได้หากสมาชิกในทีมไม่เคยออนไลน์พร้อมกันเลย ดังนั้น ให้คุณลองหาวิธีสร้างสมดุลระหว่างชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่นและเวลาที่คุณต้องการให้ผู้คนออนไลน์พร้อมกัน ซึ่งอาจจะเป็นการกำหนดชั่วโมงการทำงานหลักสักสองสามชั่วโมง หรือขอให้ผู้คนเปิดกล้องสำหรับการประชุมบางครั้ง
ขณะที่เราเปลี่ยนผ่านไปสู่วิธีการทำงานแบบใหม่ การส่งเสริมให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลเข้ามาในสำนักงานหรือโคเวิร์กกิ้งสเปซพร้อมๆ กันทุกสัปดาห์ ทุกสองสัปดาห์ หรือทุกเดือน จะทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น
9. ใช้เครื่องมือสื่อสารเพื่อให้การสนับสนุนและเพิ่มการมีส่วนร่วม
เครื่องมือสื่อสารสามารถช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและทำให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลรู้สึกไม่แปลกแยกได้ คุณควรลองทำเป็นตัวอย่างโดยใช้เครื่องมือสื่อสารที่คุณต้องการใช้ในการแชร์ข้อมูลอัพเดต ส่งเสริมการสนทนาแบบสองทาง และช่วยให้พนักงานสามารถติดต่อกับผู้นำธุรกิจได้ง่ายขึ้น
วิธีรักษาการมีส่วนร่วมขณะทำงานจากที่บ้าน: สุดยอดเคล็ดลับ
9 เคล็ดลับข้างต้นนี้คือสิ่งที่บริษัทสามารถทำได้ แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่พนักงานที่ทำงานจากทางไกลสามารถทำได้ด้วยตนเองเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมให้สูงสุดได้เช่นกัน
ออกแบบพื้นที่สำหรับทำงานโดยเฉพาะ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีห้องแยกต่างหากที่สามารถปิดประตูและทำงานได้อย่างสงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานที่ทำงานจากทางไกลซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง แต่ไม่ว่าพื้นที่ในบ้านจะเป็นแบบไหน ความคิดสร้างสรรค์จะทำให้คุณสามารถกำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับการทำงานได้ ทั้งยังเป็นประโยชน์ในตอนที่คุณต้องเปลี่ยนกลับไปใช้ชีวิตส่วนตัวและออกจากบทบาทในการทำงานอีกด้วย
- ดูตัวอย่างไอเดียสำหรับการสร้างโฮมออฟฟิศราคาประหยัด
กำหนดขอบเขตระหว่างที่ทำงานและที่บ้าน
ปัจจุบันขอบเขตมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากผู้คนมีความเสี่ยงที่จะมองว่าตัวเองอยู่ในโหมดการทำงานตลอดเวลา แล้วผู้คนจะสร้างความแตกต่างระหว่างที่ทำงานและที่บ้านได้อย่างไร
เคล็ดลับที่หลายคนใช้กันคือการแต่งกายในชุดทำงานตามปกติ หากคุณมีการประชุมสำคัญก็ให้สวมรองเท้าด้วย การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้จะเป็นตัวแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวในช่วงที่ขอบเขตระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ไม่ชัดเจน หากต้องการสิ้นสุดวันทำงาน ให้ถอดชุดทำงานออก และหากเป็นไปได้ ให้ปิดอุปกรณ์ต่างๆ และเก็บไว้ในห้องแยกต่างหาก นอกจากนี้ บางคนยังพบว่าการออกไปข้างนอกหรือการออกกำลังกายสามารถช่วยให้พวกเขา 'สลัด' โหมดการทำงานออกไปได้อีกด้วย
จัดการกับสิ่งรบกวนสมาธิ
ข้อมูลจากพนักงานจำนวน 12% แสดงให้เห็นว่าสิ่งรบกวนสมาธิเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการทำงานจากทางไกล นี่อาจเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเพิ่งเริ่มทำงานจากที่บ้านและยังไม่ได้กำหนดกิจวัตรประจำวัน และเราก็สามารถพูดได้ว่าแม้แต่กิจวัตรประจำวันที่เป็นระเบียบสุดๆ ก็ยังต้องพ่ายแพ้เมื่อมีเรื่องลูกๆ และสัตว์เลี้ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง
Forbes แนะนำให้เตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าและปิดการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์เพื่อลดสิ่งรบกวน การลงทุนไปกับหูฟังตัดเสียงรบกวนสามารถช่วยได้ การมีตู้รับพัสดุก็เป็นประโยชน์เช่นเดียวกัน เพราะคุณจะได้ไม่ถูกรบกวนจากเสียงกดกริ่งเวลามีพัสดุมาส่ง
ดูแลความเป็นอยู่ของคุณให้ดี
การสำรวจของ Monster พบว่า 69% ของพนักงานมีอาการหมดไฟในเดือนกรกฎาคม ซึ่งนับเป็นเวลาเพียง 4 เดือนหลังจากการระบาดใหญ่ทั่วโลก การเพิ่มช่วงพักเพื่อดูแลสุขภาพในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำโยคะออนไลน์หรือวิดีโอการทำสมาธิ การไปเดินเล่นในเวลาเดียวกันในทุกๆ วัน หรือการโทรหาเพื่อนหรือญาติเพื่อพูดคุยกันระหว่างดื่มกาแฟ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก
สุขภาพกายของคุณก็มีความสำคัญเช่นกัน ดังนั้นให้ใช้เวลาตรวจสอบพื้นที่ทำงานของคุณว่าไม่เป็นอันตรายต่อท่าทางการนั่งหรือดวงตาของคุณ และนึกถึงหลักสรีรศาสตร์เมื่อคุณซื้อ (หรือปรับแต่ง) เฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้ในออฟฟิศชิ้นต่อไป
จัดการเวลาของคุณ
ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานจากทางไกลคือคุณสามารถจัดการเวลาในแต่ละวันได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของคุณ ลองดูว่าวันๆ หนึ่งระดับพลังงานของคุณเพิ่มขึ้นและลดลงตอนไหน จากนั้นจึงวางแผนภาระงานของคุณตามนั้น เพื่อให้คุณทำงานได้อย่างชาญฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น นอกจากนี้ การฝึกใช้เทคนิคการบริหารเวลาบางอย่างก็ช่วยได้เช่นเดียวกัน
ให้ความสำคัญกับการพูดคุยเป็นประจำ
หากคุณรู้สึกได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยหน่ายจากการอยู่คนเดียว การสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยกับทีมอาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็คุ้มค่าที่จะทำเพื่อประโยชน์ของคุณเอง สำหรับการประชุมที่ไม่เป็นทางการนัก ให้ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองเข้ามามีส่วนร่วมโดยใช้เวลาสัก 10 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาเข้าไป หรือลองเสนอธีมสำหรับการพูดคุยที่คุณต้องการ เช่น หนังสือที่คุณอ่านหรือวันแห่งการตระหนักรู้ที่กำลังจะมาถึง เพื่อกระตุ้นความรู้สึกของการเชื่อมต่อและการมีส่วนร่วมด้วยก็ได้
บางคนพบว่าการเปิดกล้องค้างไว้กับเพื่อนร่วมงานที่ตนไว้ใจสักระยะหนึ่งจะช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อในการทำงานในห้องหรือการประชุมทางออนไลน์ได้
เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวเสียใหม่
ความโดดเดี่ยวได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่คนที่ทำงานจากที่บ้านต้องเผชิญ แม้กระทั่งก่อนการล็อกดาวน์ทั่วโลกและการบังคับใช้นโยบายการทำงานจากทางไกล แต่หากคุณเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่าความโดดเดี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมที่ใครๆ ก็เป็นกัน คุณก็จะสามารถใช้แนวทางที่มองแบบภาพรวมมากขึ้นได้ ลองสร้างนิสัยใหม่ๆ เช่น การไปเยี่ยมเพื่อนบ้านใกล้เคียงหรือเข้าร่วมกลุ่มชุมชนในท้องถิ่น รวมถึงจัดลำดับความสำคัญของเวลาที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการกับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานจากทางไกล แม้ว่าตัวเราเองจะรู้สึกแย่จนแทบรับไม่ไหว แต่การช่วยเหลือผู้อื่นก็สามารถทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ และช่วยต่อสู้กับความโดดเดี่ยวได้
การสร้างนิสัยใหม่ๆ เช่นนี้จะช่วยให้เราเปลี่ยนผ่านไปสู่ขั้นต่อไปของการทำงานแบบผสมผสาน ซึ่งผู้คนจะทำงานทั้งในโคเวิร์กกิ้งสเปซ สำนักงาน ร้านกาแฟ และโฮมออฟฟิศผสมผสานกันไป
ไม่พลาดทุกการสื่อสาร
รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน
เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย คุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว