การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์: สิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตหรือไม่
การใช้เวลาทำงานมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลิตภาพเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ถ้าอย่างนั้นแล้ว การใช้เวลาทำงานน้อยลงจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง เรามาดูกันว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เป็นไอเดียที่เหมาะกับบริบทในปัจจุบันหรือไม่
เราควรทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์หรือไม่
ผู้คนต่างพูดถึงการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในฐานะวิธีที่จะช่วยให้พนักงานมีอิสระมากขึ้นโดยไม่ทำให้ผลิตภาพลดลงกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยหากย้อนกลับไปในปี 2019 โพลล์ที่สำรวจชาวอเมริกันกว่า 36,000 คน1 เผยให้เห็นว่า 67% ของคนกลุ่มดังกล่าวชื่นชอบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มากกว่าและยินดีที่จะทำงานใน 4 วันนั้นเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 10 ชั่วโมง
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รูปแบบการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปัจจุบัน พนักงานต่างเรียกร้องสมดุลที่เพิ่มขึ้นระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต รวมถึงความยืดหยุ่นที่มากขึ้น ท่ามกลางการลาออกครั้งใหญ่และศึกชิงพนักงานที่มีความสามารถ บริษัทต่างๆ จึงตระหนักได้ว่า ตนเองจำเป็นต้องรับฟังและปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่พนักงานต้องการเพื่อให้คงความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงานเอาไว้ได้
การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มีลักษณะอย่างไร
ข้อมูลล่าสุดจากรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรระบุว่า ผู้คนในสหราชอาณาจักรทำงานกันเฉลี่ย 36.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมักจะทำงานระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ทว่าในบางประเทศ ชั่วโมงการทำงานนั้นกลับสูงลิ่ว ดังจะเห็นได้จากพนักงานในประเทศจีนที่ทำงานเฉลี่ยสัปดาห์ละเกือบ 41 ชั่วโมง และพนักงานในประเทศสิงคโปร์ที่ทำงานมากกว่า 44 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อีกทั้งการวัดความสำเร็จและผลิตภาพยังวัดในแง่ของผลลัพธ์ที่ได้ต่อชั่วโมงหรือวันทำงาน แทนที่จะมองผลลัพธ์ในภาพรวม แนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จึงมองว่า การเปลี่ยนมากำหนดแผนการที่ยึดเป้าหมายเป็นหลักและให้ความสำคัญกับพนักงานตามลำดับความสำคัญ ผลลัพธ์ที่ได้ และเป้าหมายขององค์กร สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมให้พนักงานได้มีโอกาสจัดการเวลาของตนเองในขณะที่ยังคงบรรลุเป้าหมายของธุรกิจอยู่
แต่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะได้ผลได้อย่างไร องค์กรต่างๆ อาจเลือกที่จะบีบชั่วโมงการทำงานตามมาตรฐานที่ 36.5 ชั่วโมงให้อยู่ใน 4 วัน หรือตัดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ของพนักงานแต่ละคนออก โดยตัวเลือกแรกอาจเสี่ยงที่จะส่งผลให้พนักงานที่จะรู้สึกหมดไฟ ในขณะที่ตัวเลือกที่สองก็อาจทำให้พนักงานถูกตัดรายได้และวันหยุดออกไปได้ อย่างไรก็ตาม การนำการทำงานรูปแบบใหม่มาใช้จริงนั้นสามารถทำได้หลายวิธีและไม่มีโซลูชั่นใดที่สามารถเข้ากันได้กับทุกบริบท
แก้งานยุ่งได้ไม่ยากด้วย Workplace
ไม่ว่าคุณจะต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับการกลับสู่ที่ทำงาน หรือนำวิธีการทำงานแบบผสมผสานไปปรับใช้ Workplace ก็สามารถทำให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้
บริษัทที่เปลี่ยนมาทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์
หลายธุรกิจและประเทศต่างๆ ได้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์กันบ้างแล้ว โดยบางส่วนก็ได้นำรูปแบบการทำงานนี้ไปใช้อย่างถาวร และนี่คือแนวทางของบริษัทต่างๆ
Basecamp ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์การจัดการโปรเจ็กต์นำแนวทางการทำงานสัปดาห์ละ 4 วันมาใช้ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี2
Bolt ผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ3 ประกาศให้พนักงานทำงานสัปดาห์ละ 4 วันอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2022 หลังจากทดลองให้พนักงานได้หยุดทุกวันศุกร์เป็นเวลา 3 เดือน
Buffer บริษัทซอฟต์แวร์4 เริ่มให้พนักงานทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในเดือนพฤษภาคม 2020 ในระหว่างที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด โดยหลังจากผ่านไป 2 ปี ทางบริษัทรายงานว่า บุคลากร 91% กล่าวว่าตนเองมีความสุขและมีผลิตภาพมากขึ้น
หลังจากทดลองแนวทางดังกล่าว DNS Filter บริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์5 จึงได้ดำเนินแนวทางการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์แบบสลับกันหยุดต่อไป โดยสมาชิกในแต่ละทีมจะได้สลับกันทุกหยุดวันศุกร์
G2i แพลตฟอร์มการจ้างงาน6 จะทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในทุกๆ 2 สัปดาห์ โดยทางบริษัทกล่าวว่า วิธีนี้ช่วยให้การสรรหาพนักงาน การรักษาพนักงานไว้กับองค์กร และการทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น บริษัทแห่งนี้กล่าวว่า "การทำงานสัปดาห์ละ 4 วันได้เปลี่ยน G2i ไปในแนวทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"
ข้อดีของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์
ความนิยม
สำหรับตลาดแรงงานในโลกหลังการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว ความยืดหยุ่น ความมีอิสระ และการใฝ่หาความยุติธรรม ความเท่าเทียม และความยั่งยืน ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยที่ผู้สมัครงานใช้ในการตัดสินใจ ในขณะที่ 3 ใน 4 ของนายจ้างนั้นรายงานว่าตนประสบปัญหาในการว่าจ้างพนักงานใหม่ การมอบตัวเลือกว่าจะให้ผู้คนทำงานอะไร ที่ไหน และด้วยวิธีการใดสามารถทำให้องค์กรมีความน่าสนใจยิ่งขึ้นในมุมมองของผู้ที่หางานได้
ผลิตภาพ
หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญของวันทำงานต่อสัปดาห์ที่น้อยลงคือสามารถลดภาวะหมดไฟและความเครียดได้ นอกจากนี้ ผลลัพธ์ในเบื้องต้นยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่าแนวทางนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลิตภาพเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Microsoft7 ในญี่ปุ่นที่รายงานว่า ผลิตภาพของบริษัทเพิ่มขึ้น 40% หลังจากทดลองใช้แนวทางนี้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ รวมไปถึงการศึกษาต่างๆ8 ที่แสดงให้เห็นว่า วันทำงานต่อสัปดาห์ที่น้อยลงส่งผลให้พนักงานขาดงานน้อยลง ตลอดจนเกิดอุบัติเหตุและข้อผิดพลาดระหว่างทำงานน้อยลงอีกด้วย
สุขภาวะ
ข้อมูลเบื้องต้นจากการทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์อย่างเป็นรูปธรรมระบุว่า พนักงาน 70% รู้สึกว่าตนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงจัดลำดับความสำคัญและจัดการเวลาได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทต่างๆ ยังรายงานด้วยว่า อัตราการขาดงานของตนเองลดลงมากถึง 55% การทำงานแบบ 'ทำงาน 4 วัน หยุด 3 วัน' จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งยังทำให้พนักงานมีเวลาให้ครอบครัว เพื่อนฝูง งานอดิเรก และการออกกำลังกายมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มความพึงพอใจจากการเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีเวลาทำงานบ้าน เช่น การดูแลบ้านและการจัดการการเงินอีกด้วย
ความยั่งยืน
การศึกษาในสหราชอาณาจักรระบุว่า การลดจำนวนวันทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์จะสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของประเทศได้มากถึง 127 ล้านตันต่อปีภายในปี 2025 โดยการศึกษานี้อิงจากการที่พนักงานใช้เวลาว่างที่เพิ่มขึ้นไปกับไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น เช่น การปั่นจักรยานและการเดินไปทำงาน การเดินทางท่องเที่ยวน้อยลง และการทำอาหารจากวัตถุดิบที่สดใหม่แทนการตอบโจทย์วันทำงานอันแสนวุ่นวายด้วยอาหารพร้อมทานที่ช่วยประหยัดเวลา
นอกจากนี้ การที่พนักงานมีวันทำงานลดลงยังอาจช่วยลดพลังงานที่ธุรกิจใช้ในพื้นที่ออฟฟิศ ซึ่งทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย
ความเท่าเทียม
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (Office for National Statistics) ของสหราชอาณาจักรในปี 2015 ชี้ว่า 74% ของเวลาทั้งหมดในการดูแลเด็กนั้นตกเป็นของผู้หญิง การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จึงอาจทำให้ผู้คนใช้เวลาว่างที่เพิ่มขึ้นเพื่อเลี้ยงดูเด็ก มีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับบ้านและครอบครัวอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น
ข้อเสียของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์
แม้การปรับรูปแบบการทำงานต่อสัปดาห์ครั้งใหญ่อาจฟังดูน่าสนใจ แต่ก็มีผู้นำธุรกิจจำนวนมากที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวความคิดของการนำแนวทางการทำงาน 4 วันมาใช้อย่างถาวรด้วยเช่นกัน
การทำงาน 4 วันอาจทำให้เกิดการแบ่งแยกได้
ไม่ใช่ทุกงานที่จะเหมาะกับการทำงาน 4 วัน หากมีคนส่วนหนึ่งสามารถทำงาน 4 วันได้ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ สิ่งนี้ก็อาจนำมาซึ่งความขุ่นเคืองภายในองค์กรได้
ผลลัพธ์ในเชิงบวกอาจเกิดขึ้นแค่ช่วงสั้นๆ
การวิจัย12 เผยว่า พนักงานไม่ได้เห็นคุณค่าของการทำงาน 4 วันมากเท่าเดิมอีกต่อไปเมื่อแนวทางนี้กลายมาเป็นมาตรฐาน และแม้ว่าในช่วงแรก เราอาจจะมองว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ทำให้เรามีวันหยุดเพิ่มขึ้น แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เราก็อาจมองว่าการทำงานวันละสิบชั่วโมงนั้นเป็นการทำงานที่หนักขึ้นแต่ได้เงินเท่าเดิมได้
การมีส่วนร่วมระหว่างกันที่ลงลด
โพลล์จาก Gallup ที่สำรวจแนวทางการทำงานต่อสัปดาห์ที่แตกต่างกัน 3 แนวทางพบว่า วันทำงานต่อสัปดาห์ที่น้อยลงทำให้สุขภาวะของพนักงานดีขึ้นและลดภาวะหมดไฟลง แต่ก็ทำให้การมีส่วนร่วมนั้นลดลงด้วยเช่นกัน โดยพนักงานที่ก่อนหน้านี้อาจรู้สึกห่างเหินจะยิ่งมีแนวโน้มที่จะรู้สึกแปลกแยกกว่าเดิมเมื่อมีวันหยุดมากขึ้น
ความเครียดที่มากขึ้น
การทำงานออฟฟิศ 4 วัน โดยทำงานแต่ละวันนานขึ้นแทนการทำงาน 5 วันอาจมีโอกาสทำได้จริงสูง แต่การบีบภาระงานอื่นๆ เช่น การประชุม การฝึกอบรม และเซสชั่นการทำงานร่วมกันให้อยู่ใน 4 วันก็อาจสร้างความกดดันจากตารางงานที่แน่นขึ้นและส่งผลให้พนักงานรู้สึกเครียดมากขึ้น แทนที่จะช่วยให้ลดน้อยลงได้
ความไม่เท่าเทียม
คุณค่าของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในแง่ของความเท่าเทียมนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทำในวันที่ 5 ซึ่งหากผู้หญิงจำเป็นต้องใช้วันที่ 5 นั้นไปกับการดูแลเด็ก สิ่งนี้ก็จะส่งผลลบต่อความเท่าเทียมโดยไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นแต่อย่างใด อีกทั้งผลกระทบด้านสุขภาพจากการทำงานเป็นระยะเวลาที่นานขึ้นสำหรับพนักงานสูงอายุ หรือผู้พิการหรือป่วยเรื้อรังก็อาจทำให้คนเหล่านี้ไม่ได้รับประโยชน์จากการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์อีกด้วย
ค่าใช้จ่าย
การปิดสำนักงานของธุรกิจในวันที่ 5 อาจช่วยประหยัดพลังงานและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ แต่องค์กรก็ยังคงต้องจ่ายค่าเช่าและค่าอุปกรณ์ต่างๆ เช่นเคย การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จึงอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการขยายพื้นที่และทรัพยากรเพื่อรองรับพนักงานจำนวนมากขึ้นที่จะทำงานในออฟฟิศนานขึ้นได้
การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เหมาะกับธุรกิจหรือไม่
การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์อาจไม่ได้เหมาะกับทุกองค์กรหรือพนักงานทุกคนเสมอไป เพราะบางภาคธุรกิจ เช่น บริการฉุกเฉิน การบริการ การขนส่ง และโลจิสติกส์ ต้องการให้พนักงานของตนทำงาน 5 วัน หรือแม้กระทั่ง 7 วันต่อสัปดาห์ อีกทั้งพนักงานจำนวนมากก็ยินดีที่จะทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ และอาจต้องการหาโอกาสทำงานล่วงเวลาและทำงานจากที่บ้านเป็นครั้งคราวหรือตลอดเวลามากกว่า และเนื่องจากโรงเรียนเปิดสอน 5 วันต่อสัปดาห์ การทำงานสัปดาห์ละ 4 วันโดยที่ต้องทำงานนานขึ้นก็อาจไม่เหมาะกับผู้ปกครองและคนอื่นๆ ที่มีหน้าที่ต้องดูแลบุตรหลานได้
ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์
พนักงานต้องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จริงๆ หรือไม่
ธุรกิจจะให้บริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้หรือไม่
ส่วนที่ต้องทำงานร่วมกันนั้นสามารถทำงานได้ภายใต้กรอบเวลา 4 วันจากเดิมที่ 5 วันได้หรือไม่
ธุรกิจจะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ไม่รบกวนวันหยุดของพนักงานได้อย่างไร
ธุรกิจจะรักษาการมีส่วนร่วมเมื่อพนักงานมีวันหยุดเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
ทำอย่างไรให้การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นั้นได้ผล
อธิบายแนวทางใหม่ให้ผู้อื่นเข้าใจ: การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ณ ที่นี้หมายถึง การทำงาน 4 วัน วันละ 10 ชั่วโมง หรือการลดรายได้และสวัสดิการลงโดยที่พนักงานยังคงทำงานนานเท่าเดิมแต่ลดวันลง
ลองทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ โดยอาจทดลองในสาขาเดียว หรือทดลองกับแต่ละทีมก่อน
ให้ความรู้และฝึกให้ผู้จัดการบริหารจัดการบุคลากรด้วยแนวทางการทำงานที่ต่างไปจากเดิม
ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รวมถึงไต่ตรองเกี่ยวกับประสบการณ์ของพนักงานทุกคน
ตัดสินใจเรื่องการวัดผล โดยอาจเป็นในแง่ของการรักษาผลิตภาพ สุขภาวะที่ดียิ่งขึ้น การสรรหาพนักงานที่มากขึ้น และความภักดีของพนักงาน
ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมอยู่เสมอ แม้ว่าวันทำงานจะลดลงและมีความกดดันมากขึ้นก็ตาม
สื่อสารสิ่งที่คุณกำลังวางแผนอยู่ รวมถึงสาเหตุ เพื่อจัดการกับความคาดหวังของลูกค้า
ปรับวันหยุดและสวัสดิการให้เหมาะกับการทำงานรูปแบบใหม่
พิจารณาถึงความยืดหยุ่นในแง่ของช่วงเวลาที่ความต้องการจากลูกค้ามีเพิ่มมากขึ้น หรือปัจจัยด้านฤดูกาลที่พนักงานอาจต้องทำงานล่วงเวลา หรือทำงานน้อยลงกว่าเดิม
ใช้งานเทคโนโลยีเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะจากที่ทำงานหรือจากทางไกล
แนวทางอื่นๆ ในการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์
การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไม่ใช่แนวทางการทำงานเดียวที่ให้ความยืดหยุ่นที่มากขึ้นและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแก่พนักงาน แนวทางอื่นๆ ที่คุณควรลองพิจารณามีดังต่อไปนี้
การทำงานที่ยืดหยุ่นในรูปแบบอื่นๆ เช่น การทำงานจากทางไกลอย่างเต็มรูปแบบ หรือการทำงานแบบไฮบริด
การลาหยุดได้ไม่จำกัดวันแต่ยังคงได้รับเงินเดือน
สิทธิ์ในการปฏิเสธการพูดคุยนอกเวลางาน
การปรับเปลี่ยนกระแสงาน
การใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อทำงานที่ซ้ำซากจำเจ
การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จากทั่วโลก
หลายประเทศได้ทดลองใช้การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์กันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยผลลัพธ์บางส่วนนั้นมีดังต่อไปนี้
ไอซ์แลนด์
ไอซ์แลนด์ได้ทดลองทำงานสัปดาห์ละ 4 วันในช่วงปี 2015-2019 และพบว่า พนักงานมากกว่า 2,500 คนมีสุขภาวะที่ดีขึ้นในแง่ของสุขภาพและสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต
นิวซีแลนด์
การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ของบริษัท Perpetual Guardian ในนิวซีแลนด์ในปี 2018 พบว่า แนวทางนี้ส่งผลให้ระดับการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น 30-40% เกณฑ์ชี้วัดด้านสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น 44% การส่งเสริมสนับสนุนพนักงานเพิ่มขึ้น 26% การเป็นผู้นำเพิ่มขึ้น 28% การมุ่งมั่นทำงานเพิ่มขึ้น 27% และความผูกพันต่อองค์กรเพิ่มขึ้น 29% นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัท Unilever ในนิวซีแลนด์ยังได้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ตลอดทั้งปี โดยมีแผนที่จะทดลองในประเทศอื่นๆ อีกด้วย
เบลเยียม
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 พนักงานในเบลเยียมได้รับสิทธิ์ในการเลือกว่าจะทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์โดยไม่โดนลดเงินเดือนหรือไม่
สหราชอาณาจักร
ในเดือนมิถุนายน 2022 พนักงานมากกว่า 3,300 คนใน 70 บริษัทในสหราชอาณาจักรได้เริ่มโครงการนำร่องที่จะดำเนินการเป็นระยะเวลา 6 เดือน และยึดหลักการจ่ายเงินเต็มจำนวนต่อเวลาทำงาน 80% โดยแลกเปลี่ยนกับการพยายามรักษาผลิตภาพให้ได้เท่าเดิม โดยที่นักวิจัยจะวิเคราะห์ผลตอบรับของพนักงาน ทั้งในแง่ของความเครียดและภาวะหมดไฟ ความพึงพอใจในหน้าที่การงานและชีวิต สุขภาพ การนอนหลับ การใช้พลังงาน และการเดินทาง