ความคาดหวังของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจาก AI และเทคโนโลยีได้เข้ามากำหนดทิศทางการดำเนินการของธุรกิจในทุกแง่มุม แล้วสิ่งที่ผู้นำคาดว่าจะต้องเผชิญคืออะไร และจะวางแผนเพื่อรับมือกับอนาคตได้อย่างไรบ้าง

พนักงานจะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของตนได้อย่างไร

พนักงานจะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของตนได้อย่างไร

อนาคตของสถานที่ทำงานเริ่มมีแนวทางที่ยึดพนักงานเป็นศูนย์กลางมากขึ้น โดยรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดทำให้พนักงานสามารถกำหนดเวลาและสถานที่ในการทำงานได้ด้วยตัวเอง จากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานในแคนาดา ไอร์แลนด์ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรพบว่า เกือบสามในสี่ของพนักงานมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตการทำงานหลังการแพร่ระบาด โดยหลายๆ คนกำลังวางแผนกิจวัตรประจำวันใหม่ รวมถึงเปลี่ยนแปลงเวลาและสถานที่ทำงาน1

เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราพบปะ แบ่งปันความรู้ เข้าฝึกอบรม รวมถึงวางแผนงานและโปรเจ็กต์ต่างๆ พนักงานต้องการอิสระและความยืดหยุ่นมากขึ้น และกำลังให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานของตน แม้แต่องค์กรที่ไม่สามารถอนุญาตให้พนักงานทำงานจากไกลก็ยังหันมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของพนักงานที่ครอบคลุมขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงจากการหยุดชะงักและความท้าทายที่มาจากวิกฤตโควิด

องค์กรต่างหันกลับมาทบทวนแนวทางการปฏิบัติงานของตนในหลายแง่มุม องค์กรต้องการมอบความยืดหยุ่นและเพิ่มประโยชน์จากวิธีการทำงานใหม่ให้ได้มากที่สุดในแง่ของความพึงพอใจและผลิตภาพของพนักงาน ในยุคหลังภาวะวิกฤต องค์กรต่างกำลังฟื้นฟูกำลังของพนักงาน จัดโครงสร้างการจ้างงาน เงินและสวัสดิการชดเชยพิเศษเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการหยุดชะงักที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ องค์กรยังกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการวางแผนและแจกจ่ายงาน ขยายการใช้พนักงานชั่วคราว และลดขนาดหรือปรับเปลี่ยนพื้นที่ในสำนักงาน

เส้นทางสู่ออฟฟิศไร้พรมแดน

ค้นพบวิธีการและสาเหตุที่ทำให้เราสามารถทำงานอย่างเต็มความสามารถได้จากทุกที่ภายในโลกของเมตาเวิร์ส

เทรนด์ที่ใหญ่ที่สุดที่จะกำหนดอนาคตของการทำงานมีอะไรบ้าง

เทรนด์ที่ใหญ่ที่สุดที่จะกำหนดอนาคตของการทำงานมีอะไรบ้าง

เทรนด์สำคัญหลายประการได้เปลี่ยนแปลงอนาคตของสถานที่ทำงานของเราแล้ว

1. การทำงานแบบไฮบริด

เทรนด์ที่สำคัญที่สุดเทรนด์หนึ่งที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิดคือการทำงานแบบไฮบริด พนักงานสามารถเลือกได้ว่าจะทำงานจากทางไกล ทำงานในสำนักงานเต็มเวลา หรือผสมผสานทั้งสองรูปแบบอย่างยืดหยุ่น ผลจากรายงานฉบับหนึ่งระบุว่า 40% ของนายจ้างกล่าวว่า ตนคาดหวังให้พนักงานมากกว่าครึ่งหนึ่งทำงานจากที่บ้านเป็นประจำเมื่อการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง

พนักงานจะได้รับประโยชน์หลายประการ ได้แก่

  • มีเวลามากขึ้น เพราะไม่ต้องเดินทางเหมือนเมื่อก่อน
  • สามารถบริหารจัดการการทำงานกับชีวิตในบ้านและครอบครัว
  • สามารถทำงานในเวลาที่พร้อมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แทนการทำงานในช่วงเวลาปกติ

การทำงานแบบไฮบริดทำให้การดำเนินการในองค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เนื่องจากนายจ้างให้ความสำคัญกับการรักษาผลิตภาพ การปรับตัวและพัฒนาวัฒนธรรมของบริษัท และการค้นหาวิธีใหม่ในการทำงานร่วมกันและเป็นรายบุคคล

2. ระบบอัตโนมัติ

ข้อมูลของ McKinsey ระบุว่า เกือบทุกอาชีพจะได้รับผลกระทบจากระบบอัตโนมัติ และวิธีการดำเนินธุรกิจในเกือบทุกอุตสาหกรรมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้ทำให้ปริมาณภาระงานที่ซ้ำซากจำเจลดลง เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและผลิตภาพ อีกทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุน เมื่อเครื่องจักรสามารถปรับตัวให้เข้ากับภาระงานมากขึ้น พนักงานจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ และพร้อมที่จะทำงานควบคู่ไปกับเทคโนโลยีเหล่านั้น

3. เมตาเวิร์ส

เทคโนโลยี Virtual Reality, Augmented Reality และโฮโลแกรมกำลังจะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเรา ด้วยการสร้างพื้นที่ที่ทำให้พนักงานประจำสำนักงาน พนักงานที่ทำงานจากทางไกล พนักงานหน้างาน และพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดสามารถรวมตัวกัน อีกทั้งยังเป็นการปฏิวัติรูปแบบการให้คำปรึกษาและการฝึกอบรมด้วย

4. การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของพนักงาน

เมื่อมีที่ทำงานที่ยึดพนักงานเป็นศูนย์กลางจำนวนมากขึ้น การรับรองว่าพนักงานจะได้รับประสบการณ์เชิงบวกก็กลายเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จขององค์กร การที่จะมอบประสบการณ์เชิงบวกได้นั้นต้องอาศัยการบูรณาการจากทั้งสถานที่ทำงาน ฝ่ายไอที ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายผู้นำและผู้จัดการ

เพื่อรักษาจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ และเพิ่มผลิตภาพทั้งในทีมที่ทำงานจากทางไกลและทีมแบบไฮบริด พนักงานจะต้องได้รับประสบการณ์ดิจิทัลที่ราบรื่น โดยมีเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวเพื่อช่วยให้มีผลิตภาพและรู้สึกมีส่วนร่วม ส่วนธุรกิจจะต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกและข้อมูลเพื่อค้นหาและใช้งานเครื่องมือที่มีคุณค่า และคัดกรองปัจจัยที่สร้างภาระงานมากเกินไปและทำให้การทำงานของพนักงานล่าช้าออกไป

การจัดการทีมอย่างมีประสิทธิภาพได้พัฒนาไปสู่กระบวนการสร้างความผูกพันธ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีลักษณะดังนี้

  • ปรับทักษะให้สอดคล้องกับงาน
  • ส่งเสริมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของบริษัทให้ครอบคลุมพนักงานทั่วทั้งองค์กร
  • มีการปรับแต่งและดัดแปลงอย่างต่อเนื่อง

5. ความยืดหยุ่นในบทบาทและกระบวนการ

พนักงานหลายคนมองว่า ความยืดหยุ่นเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจทำงานหรือลาออกจากงานในยุคนี้ แม้ว่าการทำงานแบบไฮบริด หรือทางเลือกในการทำงานจากทางไกลจะเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมากที่สุด แต่องค์กรก็สามารถนำเสนอความยืดหยุ่นในรูปแบบอื่นๆ ได้เช่นกัน ดังนี้

  • ชั่วโมงการทำงานที่พนักงานเป็นผู้กำหนด
  • เวลาเริ่มทำงานและเวลาเลิกงานแบบสะสม
  • โอกาสในการขยายระยะเวลาหยุดพักงาน
  • ทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับการลาพักร้อน

สำหรับผู้นำธุรกิจ แนวทางเหล่านี้คือการประเมินงานและกระบวนการขององค์กรใหม่เพื่อค้นหาสิ่งที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่นอกสำนักงาน และสิ่งที่สามารถทำได้ดีกว่าเมื่อผู้คนอยู่ในสถานที่เดียวกัน

6. การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและสุขภาวะ

การเน้นย้ำความสำคัญของประสบการณ์พนักงานในยุคใหม่นี้ได้ทำให้องค์กรต่างมองหาวิธีส่งเสริมสุขภาพของพนักงานและสุขภาวะในที่ทำงาน ซึ่งประเด็นนี้ได้เชื่อมโยงเข้ากับความมุ่งมั่นใหม่ในการปรับสมดุลการใช้ชีวิตและการทำงานให้ดีขึ้น รวมถึงความกังวลด้านสุขภาพที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด หลายองค์กรกำลังเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพลงในสวัสดิการของพนักงาน และลงทุนในด้านอื่นๆ ดังนี้

  • อาชีพและจุดมุ่งหมาย – บริษัทจะนำเสนอทางเลือกในการทำงานที่ยืดหยุ่น โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง การฝึกอบรมและการฝึกสอนเพื่อยกระดับ และเส้นทางความก้าวหน้าที่ชัดเจน
  • สังคม – รับรองว่าบุคลากรที่ทำงานจากทางไกล บุคลากรในสำนักงาน และบุคลากรหน้างานจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและโปรเจ็กต์การทำงานร่วมกัน ทรัพยากรที่ใช้ร่วมกัน รวมถึงงานกิจกรรมทางสังคม ทั้งทางออนไลน์และในชีวิตจริง
  • การเงิน – PWC ให้ข้อมูลว่า ความกังวลด้านการเงินเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดความเครียดในหมู่พนักงานท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาด พนักงานเกือบสองในสามส่วนกล่าวว่า ตนมีความเครียดทางการเงินมากขึ้นตั้งแต่โควิดเริ่มแพร่ระบาด นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ตนมีแนวโน้มที่จะหางานหรือทำงานกับนายจ้างที่ใส่ใจด้านสวัสดิภาพทางการเงินของพนักงานมากกว่า
  • สุขภาพกาย – สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ซึ่งผู้จัดการอาวุโสสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพนักงานได้ โดยส่งเสริมนิสัยที่ดีต่อสุขภาพในที่ทำงาน และคอยสนับสนุนพนักงานที่ทำงานจากทางไกล เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานจะมีสภาพแวดล้อมการทำงานในบ้านที่ดี
  • สุขภาวะทางจิต – ข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิดทำให้ภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และปัจจุบันธุรกิจหลายรายกำลังพิจารณาที่จะเสนอแผนการให้คำปรึกษาหรือจ้างผู้ให้คำปรึกษาแก่พนักงาน
  • สุขภาวะทางอารมณ์ – การทำงานจากที่บ้านและการแสวงหาความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น ทำให้ชีวิตของผู้จัดการและพนักงานมีความสำคัญต่อที่ทำงานมากขึ้น ผู้นำธุรกิจในอนาคตจะต้องแสดงความเข้าอกเข้าใจผ่านการเป็นผู้นำ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สามารถตอบสนองความต้องการของตัวบุคคล แทนที่จะมุ่งความสนใจไปยังทีม บทบาท หรือภาระงาน

7. การสรรหาบุคลากรตามทักษะมากกว่าบทบาท

นายจ้างต่างตระหนักดีว่า ลำดับขั้นตามบทบาทในองค์กรแบบดั้งเดิมในยุคก่อนการระบาดนั้นไม่เหมาะกับสถานที่ทำงานแห่งอนาคตอีกต่อไป ธุรกิจจึงสรรหาบุคลากรและฝึกอบรมทักษะที่เปิดโอกาสในการขยายธุรกิจและการพัฒนาเส้นทางอาชีพ และมองว่าความสามารถของผู้คนมีความสำคัญมากกว่างานที่พวกเขาทำหรือตำแหน่งที่เป็นอยู่

8. การเฝ้าติดตามและวิเคราะห์พนักงาน

แม้ว่าจะไม่มีโอกาสใดจะดีไปกว่านี้แล้วในการเฝ้าติดตามกิจกรรมของพนักงาน แต่การทำเช่นนั้นก็อาจถูกมองในแง่ลบได้ โดยเฉพาะในองค์กรที่กำลังพัฒนารูปแบบการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งมีความไว้วางใจเป็นหัวใจสำคัญ ผู้นำจึงต้องพร้อมรับฟังปัญหา และแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการรวบรวมข้อมูล เช่น ทำให้การวางแผน การบริหารจัดการ และการประเมินดีขึ้น และใช้ผลลัพธ์เชิงบวกจากการเฝ้าติดตามเป็นผลตอบแทนความก้าวหน้า

9. ความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้น

การระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้ผู้นำ ผู้จัดการ และพนักงานต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน ซึ่งทุกคนต่างต้องดิ้นรนปรับตัวทำงานท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ทำให้ผู้นำธุรกิจและผู้จัดการต้องมีความชัดเจน การสื่อสารที่กระจ่างและโปร่งใสจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ

เมื่อข้อจำกัดจากการแพร่ระบาดถูกยกเลิกไป ประโยชน์จากความโปร่งใสนี้อาจหายไปด้วย เว้นแต่ว่านายจ้างจะยังคงลงทุนกับวิธีการแชร์แผนงานและเป้าหมาย การพิจารณารางวัลและสวัสดิการ และให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อไป

10. องค์กรที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ท่ามกลางการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด องค์กรต่างเพิ่มศักยภาพด้วยการขยายขนาด ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสในการทำงานร่วมกันข้ามบริษัท การควบรวมกิจการและการกระจายการลงทุนเชิงภูมิศาสตร์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้นำธุรกิจยังลงทุนในตลาดแห่งใหม่เพื่อบรรเทาและจัดการความเสี่ยงอีกด้วย

ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเหล่านี้ได้สร้างความท้าทายสำหรับอนาคตในด้านของการจัดการประสิทธิภาพ การสรรหาทักษะที่จำเป็นต่อการดำเนินงานใหม่ และการเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ขององค์กรเข้าด้วยกัน

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้เกี่ยวกับออฟฟิศไร้พรมแดนไปพร้อมกัน

11. การให้ความสำคัญกับค่านิยมและพันธกิจ

ในอนาคต องค์กรที่ประสบความสำเร็จจะเป็นองค์กรที่มีจุดมุ่งหมายทางพันธกิจที่ชัดเจน ซึ่งสามารถรักษาความสมดุลระหว่างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานกับผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผลิตภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้ พนักงานจำนวนมากยังต้องการทำงานให้กับธุรกิจที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อทั้งสังคมและองค์กร ผู้นำธุรกิจจะต้องมั่นใจว่าจุดมุ่งหมายของตนชัดเจน และส่งเสริมพฤติกรรมที่จะผลักดันให้พันธกิจก้าวไปข้างหน้า

นายจ้างสามารถวางแผนเพื่ออนาคตได้อย่างไร

นายจ้างสามารถวางแผนเพื่ออนาคตได้อย่างไร

การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น เมื่อโลกเริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด จะต้องมีหลายสิ่งตามมาอย่างแน่นอน นายจ้างที่ประสบความสำเร็จต้องเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่อไปนี้

  • เปิดรับความคล่องตัว
  • มอบความยืดหยุ่น
  • ให้ความสำคัญกับผู้คนมากกว่าบทบาทที่กำหนดหรือลำดับขั้นในองค์กรแบบดั้งเดิม
  • ตามทันภูมิทัศน์เทคโนโลยีที่ขยายไปอย่างรวดเร็ว
  • สร้างเป้าหมายใหม่
  • พูดคุยเรื่องอนาคตกับพนักงานทุกระดับ

ก้าวเข้าสู่อนาคตแห่งการทำงาน

สมัครเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากเราเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานและอนาคตของเมตาเวิร์ส

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

อ่านต่อ:

1 "72% of Employees Plan to Change How They Work Post-Pandemic", Salesforce, 2021
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้เกี่ยวกับออฟฟิศไร้พรมแดนไปพร้อมกัน


โพสต์ล่าสุด

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 11 นาที

อนาคตของการทำงาน

การทำงานในเมตาเวิร์สเป็นอย่างไร การทำงานแบบไฮบริดจะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่ แม้คุณจะไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่รออยู่ข้างหน้าได้ 100% แต่อย่างน้อยคุณก็สามารถเตรียมองค์กรของคุณให้พร้อมสำหรับอนาคตได้

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 12 นาที

การทำงานแบบไฮบริด: ยินดีต้อนรับสู่วิธีการทำงานรูปแบบใหม่

คุณต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศหรือทำงานจากที่บ้านต่อไป แล้วถ้าเอาทั้งสองรูปแบบมารวมกันล่ะ การทำงานแบบไฮบริดอาจเป็นวิธีที่เหมาะกับองค์กรของคุณที่สุดก็เป็นได้

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 6 นาที

เราจะทำงานอย่างไรในเมตาเวิร์ส

ตั้งแต่การทำงานร่วมกันในทีมไปจนถึงวัฒนธรรมของบริษัท นี่คือ 5 วิธีที่เมตาเวิร์สและ Virtual Reality จะเปลี่ยนอนาคตในการทำงานและการทำธุรกิจ