วิธีการเปลี่ยนจากผู้จัดการไปสู่ผู้นำ
การเปลี่ยนจากบทบาทด้านบริหารจัดการไปสู่บทบาทผู้นำอาจเป็นเรื่องยาก การเรียนรู้ทักษะและกลยุทธ์ใหม่ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากต่อการเปลี่ยนผ่านให้สำเร็จ
คำถามว่าอะไรคือปัจจัยของการเป็นผู้นำที่ดีนั้นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างเข้มข้น ต่อให้ไปถามคน 10 คนคุณก็คงได้คำตอบไม่ซ้ำกัน 10 แบบ ทว่าก็เห็นได้ชัดว่า ความสามารถในการเป็นผู้นำขึ้นอยู่กับทักษะและคุณลักษณะที่สำคัญบางประการ แต่สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากชุดทักษะของผู้จัดการอย่างไร
เมื่อคุณไต่ระดับในองค์กรขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็มีวิธีเตรียมตัวรับบทบาทใหม่ของคุณเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดมานำเสนอ
ทักษะการเป็นผู้นำและทักษะการจัดการ: แตกต่างกันอย่างไร
บทบาทของผู้จัดการและผู้นำเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่เหมือนกัน แม้ว่าทั้งสองบทบาทจะจำเป็นต่อการทำให้ทีมประสบความสำเร็จ แต่ต่างก็ใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
การจัดการนั้นเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและผลิตภาพ ส่วนความเป็นผู้นำจะเกี่ยวกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้คนสามารถมองเห็นความเป็นไปได้และเพิ่มศักยภาพให้สูงสุด ดังที่ Warren Bennis กูรูด้านความเป็นผู้นำชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า “ผู้จัดการจะถามว่าอย่างไรและเมื่อใด ส่วนผู้นำจะถามว่าอะไรและทำไม”
ยิ่งไปกว่านั้น การเป็นผู้จัดการที่ดีไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้นำที่ดีเสมอไป อันที่แท้จริงแล้ว มีคนเพียง 10% เท่านั้นที่เป็นผู้นำโดยกำเนิด และเมื่อคำนึงถึง 40-50% ของผู้นำหน้าใหม่ที่ล้มเหลวภายใน 18 เดือนแรกแล้ว ก็พูดได้อย่างเต็มปากว่าการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ทั้งหมดด้วยซ้ำไป
ในการถกเถียงเรื่องผู้นำและผู้จัดการนั้น ความแตกต่างที่สำคัญบางประการระหว่างทั้งสองบทบาทมีดังนี้
ผู้จัดการสอนสั่ง ผู้นำบันดาลใจ
ผู้จัดการเน้นรายละเอียด มีระเบียบ และมีประสิทธิภาพ บทบาทนี้คอยดูแน่ใจว่างานจะเสร็จตรงเวลาภายในงบประมาณ
ในทางกลับกัน ผู้นำสนับสนุนให้สมาชิกทีมทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายโดยไม่ต้องบอกว่าต้องทำอะไร คนเหล่านี้มักจะเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ กระตือรือร้น และมีความมุ่งมั่น ทำให้ผู้คนอยากติดตาม
ผู้จัดการคอยควบคุม ผู้นำคอยส่งเสริม
ผู้จัดการมักจะลงมือเอง เข้ามาควบคุมทีมของตนและจัดการประชุมเป็นประจำเพื่อตรวจสอบโครงการต่างๆ พร้อมพูดคุยถึงสิ่งที่คาดหวัง
ผู้นำไม่ควบคุมทุกรายละเอียด แต่เชื่อมั่นในการส่งเสริมทีม โดยการมอบหน้าที่และความรับผิดชอบรวมถึงอิสระในการทำงานให้กับสมาชิกทุกคน ผู้นำยังคงดูแลทุกอย่าง แต่เป็นคนจัดหาทรัพยากรและความรู้ที่จำเป็นต่อการก้าวไปสู่ความสำเร็จให้กับพนักงาน
ผู้จัดการเน้นขั้นตอน ผู้นำเน้นผู้คน
ผู้จัดการจะจัดสรรทรัพยากรให้กับงานต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่างานในแต่ละวันของพนักงานจะช่วยให้บริษัทบรรลุวัตถุประสงค์โดยรวม
ผู้นำที่ดีจะทำให้สมาชิกทีมรู้สึกมีจุดมุ่งหมายและเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งจะสามารถเพิ่มผลิตภาพและความพึงพอใจในงานได้ พนักงานที่มีความสุขจะอยู่กับบริษัทต่อ หมายความว่าบริษัทจะลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจ้างและฝึกอบรมพนักงานใหม่ได้
ผู้จัดการตั้งเป้าระยะสั้น ผู้นำมีวิสัยทัศน์ระยะยาว
ผู้จัดการดำเนินงานตามเป้าหมายต่างๆ ของแผนกแบบวันต่อวัน ซึ่งอาจไม่ได้สอดคล้องกันในระยะยาวเสมอไป จุดสนใจหลักของบทบาทนี้อยู่ที่ความมั่นคงและการรักษาสภาพการดำเนินงานในปัจจุบันเอาไว้
ผู้นำเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง และเปิดรับไอเดียใหม่ๆ สำหรับผู้นำแล้ว จุดมุ่งหมายคือหนทางไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าของบริษัท ให้นึกเสียว่าผู้นำมองเห็นป่า ผู้จัดการมองเห็นต้นไม้แต่ละต้นก็ได้
ขั้นแรกในการเปลี่ยนจากผู้จัดการไปสู่ผู้นำ
ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบสักเล็กน้อย การก้าวสู่ผู้นำก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเสมอไป ทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับบทบาทผู้นำใหม่
ประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง
การทบทวนตัวเองนั้นไม่ง่ายแต่ว่าสำคัญ นอกจากประเมินคุณสมบัติที่ดีที่สุดของคุณแล้ว ให้ลองหาว่าคุณยังขาดความรู้ในเรื่องใดและระบุจุดที่คุณปรับปรุงได้ คุณสามารถแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ได้โดยการเข้าร่วมหลักสูตรอบรมความเป็นผู้นำ หรือแผนการฝึกสอนผู้นำใหม่
ผู้นำที่ดีที่สุดเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและคอยรวบรวมความคิดเห็น ทั้งยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มพูนทักษะและความรู้ของตนด้วย
รับฟัง สังเกต และไตร่ตรอง
คุณอาจต้องการลงมือเปลี่ยนแปลงทันทีเพื่อแสดงความเด็ดขาด แต่หนึ่งในข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของคนเป็นผู้นำครั้งแรกก็คือการพยายามทำสิ่งต่างๆ ทั้งที่ยังไม่พร้อม ลองใช้เวลาสังเกต รับฟัง และเรียนรู้เกี่ยวกับองค์กรและพนักงานของคุณก่อน
แม้ว่าคุณจะทำงานกับบริษัทมาเป็นเวลานาน แต่คุณจะต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับการมองแต่ละสิ่งจากมุมมองที่ต่างออกไป เมื่อคุณพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำและเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น คุณก็จะสามารถนำความคิดไปปฏิบัติได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นว่าจะประสบความสำเร็จ
เข้าใจรูปแบบการเป็นผู้นำของคุณ
คุณอยากเป็นผู้นำแบบไหน แบบฝึกสอนมากกว่าแบบเผด็จการ เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือเป็นคนที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
เลือกดูว่าความเป็นผู้นำรูปแบบใดที่เหมาะกับคุณ ทีมของคุณ และวัฒนธรรมบริษัทของคุณมากที่สุด แล้วนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ความสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักของผู้นำ เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงความสุขุมและช่วยให้ผู้คนทราบถึงสถานะที่ตนมีต่อคุณ
วางแผนและวัดความสำเร็จ
วิธีหนึ่งในการคงอยู่บนเส้นทางสู่การเป็นผู้นำทีมที่ดีคือการพัฒนาแผนให้สอดคล้องกับเป้าหมายและค่านิยมของทีมคุณ การศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีพนักงานเพียง 48% เท่านั้นที่มองว่าภาวะผู้นำของบริษัทตน "มีคุณภาพสูง" จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีที่ดีกว่าในการทำสิ่งต่างๆ รับคำติชมจากพนักงานอยู่เสมอ และวางแผนเพื่อการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำอย่างราบรื่น
การหาวิธีติดตามความคืบหน้าของแผนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เพื่อตรวจสอบว่าแผนของคุณดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง นอกจากมีเกณฑ์ชี้วัดสำหรับสิ่งต่างๆ อย่างอัตรากำไรและการลาออกของพนักงาน ให้ตั้งเกณฑ์ชี้วัดสำหรับสิ่งที่เด่นชัดน้อยกว่าด้วย เช่น การมีส่วนร่วมของพนักงานและการเพิ่มขีดความสามารถ ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น แบบสำรวจพนักงานและการสนทนากลุ่มเพื่อวัดผลได้
ขจัดปัญหาในที่ทำงานด้วย Workplace
ไม่ว่าคุณจะต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับการกลับสู่ที่ทำงาน หรือนำวิธีการทำงานแบบผสมผสานไปปรับใช้ Workplace ก็สามารถทำให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้
7 ทักษะการเป็นผู้นำที่ต้องเรียนรู้
จากรายงาน Global Human Capital Trends ประจำปี 2023 ของ Deloitte ผู้บริหาร 94% เชื่อว่าการพัฒนาความเป็นผู้นำสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร ทว่ามีเพียง 23% เท่านั้นที่คิดว่าผู้นำของตนมีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นผู้นำในโลกที่ "ไร้พรมแดน" ในปัจจุบัน
เมื่อคุณก้าวจากการเป็นผู้บริหารมาสู่ผู้นำ ก็มีทักษะสำคัญบางประการที่คุณต้องเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย
1. คิดอย่างมีกลยุทธ์
หนึ่งในทักษะที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากผู้จัดการคือความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ พูดง่ายๆ ก็คือ คุณจะต้องมีแผนระยะยาวและหาวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายของคุณ
คุณควรทำความรู้จักตลาดของคุณอย่างรอบด้านและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างแม่นยำ รวมทั้งคาดการณ์ปัญหาและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด
2. การโน้มน้าวใจและศิลปะการเจรจา
ผู้นำที่ยอดเยี่ยมมีพรสวรรค์ในการโน้มน้าวและจูงใจผู้อื่น ทั้งยังสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คนจากทุกสาขาอาชีพได้อย่างรวดเร็ว ทักษะนี้ต้องการความฉลาดทางอารมณ์ในระดับสูง ซึ่งจำเป็นในการชักชวนให้ผู้คนมาอยู่ฟากฝั่งเดียวกัน อย่างเช่นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกที่คุณอาจไม่เคยพบเจอมาก่อน คุณจะต้องทำให้ทุกคนเห็นพ้องไปในทางเดียวกัน
ผู้นำที่ดีที่สุดเป็นผู้ฟังที่ดีและเปิดรับมุมมองอื่น แต่ก็กล้าที่จะยืนหยัดในความคิดของตนเมื่อจำเป็นด้วย
3. คิดแบบมองภาพใหญ่
เมื่อเริ่มบทบาทผู้นำใหม่ๆ คุณอาจเผลอติดอยู่กับงานประจำวันที่คุณเคยดูแลตอนเป็นผู้จัดการได้ง่ายๆ แต่คุณจะต้องเปลี่ยนไปโฟกัสกับภาพที่ใหญ่ขึ้นและทำความเข้าใจองค์กรของคุณในภาพรวม
คุณเป็นผู้รับผิดชอบในการผลักดันวิสัยทัศน์โดยรวมของบริษัทและกำหนดแนวทางสำหรับวัฒนธรรมบริษัท หลักสำคัญคือคุณต้องได้รับการยอมรับจากทีม เพื่อให้สิ่งนั้นกลายเป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันได้ ยิ่งคุณแสดงให้เห็นว่าความพยายามของแต่ละคนสร้างความแตกต่างได้มากเพียงใด ทีมก็จะยิ่งเติบโตและมีผลิตภาพมากขึ้นเท่านั้น
4. สื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้ทักษะในการสื่อสารจะมีความสำคัญต่อทุกคน แต่ผู้นำต้องอาศัยทักษะเหล่านี้ยิ่งกว่าใคร คุณจะต้องสื่อสารได้ทุกระดับในหลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าคุณจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับสูง หรือพูดคุยกันแบบสบายๆ ระหว่างพักชงกาแฟในออฟฟิศก็ตาม
การเป็นผู้นำทีมที่ทำงานทางไกลก็ท้าทายไปอีกแบบ เนื่องจากคุณจะอ่านอารมณ์คนอื่นได้ยาก คุณอาจจัดการประชุมใหญ่ออนไลน์เพื่อแชร์ข้อมูลอัพเดตของบริษัทและเปิดโอกาสให้ผู้คนถามคำถามก็ได้ ความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจกับพนักงานของคุณ และทำให้พนักงานเปิดอกคุยกับคุณได้อย่างสบายใจ
5. เรียนรู้ที่จะมอบหมายงาน
หนึ่งในทักษะสำคัญของผู้นำทีมที่คุณต้องฝึกฝนคือศิลปะของการมอบหมายงาน แม้ว่าการรู้จักปล่อยวางการควบคุมอาจทำได้ยาก แต่คุณก็ควรมอบความรับผิดชอบแก่สมาชิกทีมคนอื่นๆ เพื่อช่วยให้สมาชิกเติบโตและมีแรงกระตุ้นอยู่เสมอ เพราะไม่ว่าอย่างไร ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทุกคนก็มีเหล่าบุคลากรมากทักษะที่พึ่งพาได้รายล้อมอยู่ข้างกาย
และการให้พนักงานทำโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ก็ยังช่วยแบ่งเบาภาระจากตารางงานที่แน่นให้คุณสามารถโฟกัสกับภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าได้อีกด้วย
6. การรับผิดชอบโดยรวม
ความรับผิดชอบทั้งหมดอยู่ที่ตัวคุณ การเป็นผู้รับผิดชอบหมายความว่าคุณต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในองค์กร จงยินดีเมื่อสิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น แต่จงเตรียมพร้อมที่จะรับผิดชอบและเลี่ยงการโทษผู้อื่นเมื่อมีอะไรไม่เป็นไปตามแผน
จากรายงานของ Deloitte ผู้เข้าร่วม 33% กล่าวว่าการขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้นำไม่สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรได้
7. การเป็นแบบอย่างที่ดี
คุณจะต้องเป็นคนที่สบายใจกับการเป็นที่จับตามอง ในฐานะผู้นำครั้งแรก คุณอาจประหลาดใจว่าผู้คนให้ความสนใจกับคำพูดและการกระทำ รวมถึงพฤติกรรมของคุณมากเพียงใด
คุณจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเมื่อคุณเป็นผู้นำทีม มิเช่นนั้น คนในทีมจะไม่เชื่อถือและไม่เคารพคุณ การแสดงคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความซื่อสัตย์ การมองโลกในแง่ดี ความเห็นอกเห็นใจ และความมั่นใจทำให้คุณได้รับความเคารพนับถือได้ พนักงานต้องการเจ้านายผู้มีค่านิยมหลักอันแรงกล้า ผู้สามารถดึงศักยภาพของทุกคนออกมาได้อย่างเต็มที่ทั้งในระดับอาชีพการงานและบุคคล
แม้ว่าเส้นทางจากผู้จัดการไปสู่ผู้นำอาจเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็คุ้มค่าและน่าตื่นเต้นเช่นกัน หากพนักงานได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดและค่านิยมของคุณอย่างแท้จริง พนักงานจะไม่เพียงแต่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่ดีเท่านั้น แต่จะยังยืนเคียงข้างคุณในยามยากลำบากอีกด้วย
อ่านต่อ:
เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ
รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน
เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร
ดาวน์โหลดเลยโพสต์ล่าสุด
ความเป็นผู้นำ | ใช้เวลาอ่าน 7 นาที
การเป็นผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือคืออะไรและจะช่วยให้ทีมของคุณใกล้ชิดกันได้อย่างไร
ผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือเชื่อมั่นในการรวมทีมที่มีความหลากหลายเข้าด้วยกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร แก้ไขปัญหาต่างๆ รวมไปถึงแบ่งปันข้อมูลระว่างกัน แต่จริงๆ แล้ว การจะเป็นผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือได้มากขึ้นนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เรามาสำรวจสิ่งนี้ไปด้วยกัน