คุณต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานหรือทำงานจากที่บ้านต่อไป แล้วถ้าเอาทั้งสองรูปแบบมารวมกันล่ะ การทำงานแบบไฮบริดอาจเป็นวิธีที่เหมาะกับองค์กรของคุณที่สุดก็เป็นได้

การทำงานจากที่บ้านมีความสำคัญเสมอมา ยิ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา การทำงานจากที่บ้านกลายเป็นเรื่องที่คนให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ทว่าในปัจจุบัน เมื่อผู้คนคิดที่จะกลับไปสู่ที่ทำงานและคิดถึงอนาคตแห่งการทำงาน จึงเป็นเหตุให้ผู้นำธุรกิจทุกหนแห่งมักจะคำนึงถึงวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ๆ ขอต้อนรับสู่โลกแห่งการทำงานแบบไฮบริด

แม้ว่าธุรกิจต่างๆ จะกลับมาเปิดหน้าร้านสำนักงานกันอีกครั้ง แต่นายจ้างจำนวนมากก็เลือกที่จะรักษาระดับการทำงานทางไกลไว้บ้าง การสำรวจของ McKinsey พบว่า 90% ขององค์กรตั้งใจที่จะผสมผสานการทำงานจากทางไกลและการทำงานในที่ทำงานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำงานระยะยาว

ขณะนี้ พนักงานส่วนใหญ่มีพื้นที่ทำงานที่มีประสิทธิภาพอยู่ที่บ้านแล้ว และการระบาดใหญ่ทั่วโลกก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการทำงานจากทางไกลก็เกิดประสิทธิผลได้เหมือนกัน แม้ว่าพนักงานที่ทำงานจากทางไกลจะรักษาผลิตภาพไว้ได้ แต่ในทางกลับกัน พนักงานเหล่านั้นก็อาจสูญเสียการติดต่อส่วนบุคคลและการเชื่อมต่อที่จะช่วยให้ตนเติบโตได้ การทำงานแบบไฮบริดสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ โดยจะมอบทั้งความเป็นอิสระของการทำงานจากทางไกลและประโยชน์ทางสังคมและวัฒนธรรมของการติดต่อแบบตัวต่อตัวด้วย

เส้นทางสู่สำนักงานไร้พรมแดน

ค้นพบวิธีการและสาเหตุที่ทำให้เราสามารถทำงานอย่างเต็มความสามารถได้จากทุกที่ภายในโลกของเมตาเวิร์ส

แม้การนำเสนอรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดนั้นค่อนข้างง่าย แต่การทำให้การทำงานรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจของคุณนั้นต้องใช้ความคิดและการวางแผนอย่างมาก รวมทั้งยังต้องมอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับพนักงานที่อาจพบว่าวิธีการทำงานแบบกระจายออกจากสำนักงานไปในหลายๆ พื้นที่แบบใหม่นั้นเป็นเรื่องยากอีกด้วย

รายงานล่าสุดจาก Temporall กล่าวว่า "...องค์กรที่ขาดการเชื่อมต่อกันนั้นก่อให้เกิดความท้าทายอย่างแท้จริง" ในโลกของการทำงานแบบไฮบริด รายงานยังกล่าวอีกว่า "ความสำคัญของการรับฟังและวัฒนธรรมที่มีการสนับสนุนและไว้วางใจกันจะมีบทบาทสำคัญในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เหล่านี้ ซึ่งหมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงหลังการระบาดใหญ่ทั่วโลกและในอนาคต เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรจะเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวกและตอบสนองต่อความต้องการของทุกคน" 1

แล้วองค์กรต่างๆ จะหาจุดสมดุลและวางตำแหน่งตัวเองให้เหมาะสมที่สุดเพื่อรับความสำเร็จในโลกหลังการระบาดใหญ่ทั่วโลกได้อย่างไร

การทำงานแบบไฮบริดคืออะไร

การทำงานแบบไฮบริดคืออะไร

การทำงานแบบไฮบริดจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งการทำงานในที่ทำงานและการทำงานจากทางไกล ตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์หนึ่ง พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ 3 วันและอาจไปทำงานในสำนักงานสัก 2 วัน หรืออาจมีบางวันที่ผู้นำคาดหวังให้พนักงานมาเข้าร่วมการประชุมแบบพบปะกัน การจัดการแบบนี้ช่วยให้พนักงานสามารถคงความยืดหยุ่นที่ตนได้รับเมื่อทำงานจากที่บ้าน แต่ก็ยังคงมีการเชื่อมต่อแบบตัวต่อตัวกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานร่วมกันและความเป็นอยู่ที่ดี

รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด 3 ประเภท

รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด 3 ประเภท

การทำงานแบบไฮบริดจะแตกต่างจากทีมแบบไฮบริดเล็กน้อย กล่าวคือพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดบางกลุ่มจะทำงานในที่ทำงานร่วมกันในบางเวลาหรือตลอดเวลา ในขณะที่คนอื่นๆ ทำงานจากทางไกลเต็มเวลา

มาสำรวจรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดประเภทต่างๆ กัน

1. ทำงานจากทางไกลเป็นหลัก

ทุกคนที่มีเครื่องมือในการทำงานจากทางไกลจะได้รับอนุญาตให้ทำงานจากทางไกลได้เกือบตลอดเวลา องค์กรส่วนใหญ่ใช้รูปแบบการทำงานจากทางไกลเป็นหลักในช่วงแรกของการระบาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งเป็นช่วงที่การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะและการไปอยู่ปะปนกับผู้คนภายนอกบ้านของคุณถือเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัย อีกทั้งองค์กรบางแห่ง เช่น Shopify และ Upwork ต่างก็กล่าวว่าตนจะยังคงใช้การทำงานจากทางไกลเป็นหลัก ถึงแม้ว่าสถานการณ์การระบาดใหญ่ทั่วโลกจะเริ่มคลี่คลายลงแล้วก็ตาม

2. ทำงานในสำนักงานเป็นครั้งคราว

ธุรกิจต่างๆ ยังคงทำงานจากทางไกลและพยายามใช้ประโยชน์จากการประชุมแบบพบปะกันและการสร้างทีมของพนักงานซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน การทำงานรูปแบบนี้จะให้พนักงานเข้ามาในสำนักงาน 1 หรือ 2 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้พนักงานสามารถสนทนากับเพื่อนร่วมงานและเข้าร่วมการประชุมทีมที่สำคัญแบบเห็นหน้ากันได้

3. ทำงานในสำนักงานเป็นหลัก

องค์กรต้องการให้พนักงานส่วนใหญ่ทำงานจากสำนักงาน แม้ว่าจะยังมีนโยบายให้ทำงานจากทางไกลอยู่ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าพนักงานบางคนมีอิสระที่จะทำงานจากที่บ้านได้ตามต้องการ แต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง

ทำไมต้องทำงานแบบไฮบริด

ทำไมต้องทำงานแบบไฮบริด

การทำงานแบบไฮบริดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นระยะหนึ่งแล้วเนื่องจากอินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้น เครื่องมือการทำงานร่วมกันบนระบบคลาวด์ และการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ซึ่งก็ได้ผลแค่ในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลกที่ธุรกิจทุกแห่งจำเป็นต้องตัดการทำงานแบบเดิมๆ ออกไปอย่างเร่งด่วนเท่านั้น

แม้ว่าไม่ใช่ทุกองค์กรที่จะสามารถใช้รูปแบบไฮบริดได้ แต่การทำงานแบบไฮบริดก็กำลังกลายเป็นวิธีการทำงานที่บางอุตสาหกรรมนำมาใช้เป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมด้านการเงินและเทคโนโลยี แบรนด์ใหญ่ๆ เช่น Facebook, Microsoft, PwC และ KPMG ก็เป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่เปิดรับการทำงานแบบไฮบริด

Jon Holt ผู้บริหารระดับสูงของ KPMG UK กล่าวว่า "เราเชื่อมั่นในบุคลากรของเรา วิธีการทำงานแบบใหม่ของเราจะช่วยส่งเสริมพนักงานและช่วยให้พนักงานออกแบบเวลาการทำงานของตนเองในแต่ละสัปดาห์ได้ การระบาดใหญ่ทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่าสถานที่ที่คุณทำงานนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับวิธีที่คุณทำงาน"

การทำงานจากที่บ้านมีข้อดีมากมายที่พนักงานไม่อยากจะเสียไป ข้อดีเหล่านั้นมีมากเสียจนองค์กรต้องนำเสนอการทำงานแบบไฮบริดเพื่อดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถไว้กันเลยทีเดียว อันที่จริงแล้ว 30% ของพนักงานกล่าวว่าตนคิดที่จะเปลี่ยนงานหากองค์กรกลับมาทำงานในที่ทำงานแบบเต็มเวลาหลังจากการระบาดใหญ่ทั่วโลก

แม้เรายังไม่เห็นว่ารูปแบบการทำงานแบบไฮบริดจะมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไรในระยะยาว แต่นโยบาย แนวทางปฏิบัติ และเทคโนโลยีการทำงานร่วมกันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อองค์กรต่างๆ มีความคุ้นเคยกับการทำงานรูปแบบนี้มากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจกล่าวได้ว่าผู้คนจะไม่เห็นว่าการเข้าไปในที่ทำงานเพราะต้องเข้าไปนั้นเป็นส่วนสำคัญของชีวิตการทำงานอีกต่อไป

The advantages of hybrid work - Workplace from Meta
การทำงานแบบไฮบริดมีข้อดีอะไรบ้าง

การทำงานแบบไฮบริดมีข้อดีอะไรบ้าง

รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดที่มีการคิดวางแผนมาอย่างดีนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานร่วมกัน ทั้งยังช่วยเพิ่มผลิตภาพและความพึงพอใจของพนักงานด้วย เหตุผลในการนำรูปแบบไฮบริดมาใช้มีดังนี้

1. สาธารณสุข

ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจากโควิด รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคมยังคงมีการบังคับใช้อยู่ในหลายประเทศ และคนก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการกลับไปทำงานในสำนักงานอยู่มาก การทำงานแบบไฮบริดจะช่วยให้มีคนอยู่ที่สำนักงาน พร้อมกันนั้นก็ช่วยให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยไปด้วย

ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ต้องดูแลคนที่มีภาวะเหล่านี้ ที่ทำงานแบบไฮบริดสามารถลดการแพร่กระจายของโรคได้ เนื่องจากพนักงานสามารถเลือกที่จะทำงานจากที่บ้านได้หากรู้สึกไม่สบาย

2. ปรับสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

การให้พนักงานได้ทำงานแบบไฮบริดหมายถึงคุณมอบโอกาสให้พนักงานได้สร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานที่ดีขึ้น เนื่องจากพนักงานมีความเครียดลดลง เดินทางน้อยลง และมีเวลามากขึ้นสำหรับกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการทำงาน

พนักงานมากกว่า 50% กล่าวว่าตนต้องการทำงานจากทางไกลบ้างบางครั้ง2 โดยหลายๆ คนชื่นชอบรูปแบบการทำงานแบบไฮบริด เพราะช่วยให้มีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงานที่ตนรู้สึกสบายใจที่สุด

3. มีพนักงานที่มีความสามารถเพิ่มขึ้น

หากองค์กรของคุณให้พนักงานได้มาทำงานแบบพบปะกันและทำงานจากทางไกลผสมผสานกัน คุณจะสามารถขยายเครือข่ายผู้มีความสามารถของคุณออกไปได้กว้างขึ้นและดึงดูดผู้คนที่ยังไม่ได้สมัครงานกับคุณ

ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่จำเป็นต้องจ้างเฉพาะพนักงานที่อยู่ในพื้นที่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลอาจต้องการทำงานให้กับคุณเช่นกันหากมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องมาที่สำนักงานสัปดาห์ละหนึ่งวันหรือมาเพื่อประชุมเท่านั้น

4. ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น

มีหลักฐานบ่งชี้มาตั้งแต่ก่อนการระบาดใหญ่ทั่วโลกแล้วว่าการทำงานจากทางไกลสามารถเพิ่มผลิตภาพได้ เนื่องจากที่บ้านมีสิ่งรบกวนน้อยกว่า และนายจ้างก็เห็นถึงประโยชน์ในข้อนี้เช่นกัน หลังจากนำแนวทางปฏิบัติในการทำงานจากทางไกลมาใช้ในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก ผู้นำธุรกิจหลายคนก็เห็นว่าองค์กรของตนมีผลิตภาพเทียบเท่ากับก่อนการระบาดใหญ่ทั่วโลกเป็นอย่างน้อย

5. ความพึงพอใจของพนักงาน

การทำงานแบบไฮบริดเป็นที่นิยมในหมู่พนักงานเนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการทำงานนอกสำนักงานในบางครั้ง บางคนชอบความครึกครื้นของการอยู่ในสำนักงาน แต่บางคนก็ชอบความสันโดษของการอยู่ที่บ้าน การทำงานแบบไฮบริดสามารถมอบประสบการณ์ของพนักงานให้กับคนทั้งสองกลุ่มได้ ทั้งยังมอบโอกาสในการทำงานร่วมกันซึ่งช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจและความรู้สึกของการอยู่ร่วมกันด้วย

6. ประหยัดค่าใช้จ่ายในสำนักงาน

การทำงานจากทางไกลช่วยลดความจำเป็นในการใช้พื้นที่สำนักงาน ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้มาก ทั้งในแง่ของขนาดสำนักงานและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาคาร การลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค เช่น เครื่องทำความร้อนและเครื่องปรับอากาศ ตลอดจนเครื่องพิมพ์และเครื่องเขียน จะช่วยให้คุณประหยัดได้มาก

7. โอกาสครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม

หากหลังจากช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ธุรกิจของคุณได้เจอกับฟ้าหลังฝน นั่นแสดงว่าการระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกสำหรับความคิดที่มีต่อวัฒนธรรมการทำงานได้จากทุกที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้นำธุรกิจสามารถไว้วางใจให้พนักงานส่วนใหญ่ทำงานได้ตามความต้องการของตนเอง และในหลายๆ กรณีก็ได้บ่มเพาะความสัมพันธ์ที่มีความเอาใจใส่กันมากขึ้นระหว่างผู้จัดการและทีมของตน

นอกจากนี้ สถานที่ทำงานแบบไฮบริดยังสามารถช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งการยืดหยุ่นปรับตัวด้วยการเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และเนื่องจากพนักงานจำนวนมากทำงานจากที่บ้านอยู่แล้ว คุณจึงสามารถกลับไปทำงานทางจากไกลได้อย่างง่ายดายหากจำเป็น

The challenges of a hybrid workplace - represented by an employee which has adapted to the new way of working: hybrid work
การทำงานแบบไฮบริดมีความท้าทายอะไรบ้าง

การทำงานแบบไฮบริดมีความท้าทายอะไรบ้าง

แม้รูปแบบสถานที่ทำงานแบบไฮบริดดูเหมือนจะสร้างสมดุลที่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีข้อบกพร่องอะไรเลย ความท้าทายในการใช้รูปแบบไฮบริดมีดังนี้

  • ความคาดหวังของการทำงานแบบไฮบริดไม่ตรงกัน

    กล่าวโดยกว้างๆ ก็คือ นายจ้างต้องการให้พนักงานกลับไปทำงานในที่ทำงานมากกว่าพนักงาน รายงานล่าสุดโดย McKinsey5 ได้แสดงถึงความไม่ลงรอยกันในประเด็นดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน โดยจากการสำรวจผู้บริหารระดับสูงพบว่า มากกว่า 3 ใน 4 กล่าวว่าตนคาดหวังให้พนักงาน "ตัวหลัก" มาที่สำนักงานอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์

    แต่เกือบ 3 ใน 4 ของพนักงานกล่าวว่าตนต้องการทำงานจากที่บ้านอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ และพนักงานจำนวน 52% ต้องการทำงานจากทางไกลอย่างน้อย 3 วัน

  • ความยากในการรักษาความสัมพันธ์

    การอยู่ในทีมแบบไฮบริดก็เหมือนการอยู่ในความสัมพันธ์ระยะไกล คุณต้องใช้ความไว้วางใจ การติดต่อกันเป็นประจำ รวมถึงต้องมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะทำงานให้สำเร็จ

    การทำงานร่วมกัน การให้คำติชม การรับความช่วยเหลือ การเข้าร่วมการประชุม และการสร้างรากฐานที่มั่นคงภายในทีมนั้นค่อนข้างง่ายเมื่อผู้คนทำงานร่วมกันตลอดเวลา และเมื่อทุกคนทำงานจากทางไกล ผู้คนจะคุ้นเคยกับการทำงานร่วมกันทางออนไลน์และจะติดต่อกันผ่านการพูดคุยเป็นประจำและผ่านแชทออนไลน์ แต่เมื่อทีมต้องแยกกันทำงาน การเชื่อมต่อระหว่างผู้ที่อยู่ในสำนักงานและที่บ้านอาจขาดหายไป

  • ขาดการโต้ตอบที่เป็นธรรมชาติ

    หลายคนสนุกกับการพูดคุยที่เกิดขึ้นแบบไม่ตั้งใจในที่ทำงาน พนักงานที่ทำงานจากทางไกลอาจรู้สึกว่าพวกเขาพลาดวัฒนธรรมในสำนักงาน การสื่อสารที่เป็นธรรมชาติ และกิจกรรมของทีมไป การอยู่ต่อหน้ากันนั้นทำให้การโต้ตอบกัน การพบปะพูดคุยกันในทันที และสังสรรค์หลังเลิกงานเป็นเรื่องง่าย แต่ความท้าทายมากมายที่ทีมแบบไฮบริดต้องเผชิญนั้นกลับเกิดจากความสะดวกของการเชื่อมต่อนี่เอง

  • ต้องมีส่วนร่วมกับทีมแบบไฮบริดในวิธีใหม่ๆ

    การมีส่วนร่วมกับพนักงานที่ทำงานจากทางไกลอาจเป็นงานหนักและใช้เวลานาน ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมผู้นำบางคนจึงไม่ให้ความสนใจกับพนักงานกลุ่มดังกล่าวเท่าที่ควร ก่อนหน้านี้ คุณสามารถเดินไปรอบๆ สำนักงาน สังเกตภาษากาย และแก้ปัญหาเมื่อจำเป็นได้ แต่ปัจจุบัน การรับรู้อารมณ์ของผู้คนจะเป็นเรื่องยากกว่ามากหากคุณไม่มาเจอกันต่อหน้า ซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดความท้อแท้ เว้นแต่คุณจะหาวิธีสร้างวัฒนธรรมสำนักงานที่บ้านขึ้นมาใหม่

  • การปฏิบัติต่อพนักงานนอกที่ทำงานและในที่ทำงานไม่สมดุลกัน

    ไม่ว่าจะมีเหตุอันควรหรือไม่ แต่บางครั้งผู้คนก็รู้สึกว่าพนักงานที่ทำงานในสำนักงานได้รับการปฏิบัติดีกว่าพนักงานที่ทำงานจากทางไกล ผู้นำอาจมองว่าพนักงานที่ 'มาปรากฏตัว' ในสำนักงานมีความทุ่มเทมากกว่า ดังนั้นจึงให้การสนับสนุนพวกเขามากกว่า พนักงานที่ทำงานจากทางไกลอาจรู้สึกว่าตัวเองพลาดโอกาสในการฝึกอบรมและการเลื่อนตำแหน่งไป เนื่องจากมาปรากฏในสำนักงานน้อยกว่า

  • พนักงานใหม่มีโอกาสน้อยลงที่จะได้เรียนรู้จากพนักงานที่มีประสบการณ์มากกว่า

    ประเด็นนี้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของการทำงานแบบไฮบริด พนักงานใหม่อาจพบว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นเรื่องยากลำบาก หากตนได้ใช้เวลากับเพื่อนร่วมงานในสำนักงานอย่างจำกัด ไม่เพียงเท่านั้น การสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานจะยากขึ้นมากหากพนักงานใหม่ไม่ได้รับการโต้ตอบกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยวและหงุดหงิดใจได้

  • ผลกระทบต่อวัฒนธรรม

    ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรอาจไม่แข็งแกร่งเท่ากับเวลาที่มีคนอยู่ในสำนักงานตลอดเวลา พนักงานที่ทำงานจากทางไกลอาจรู้สึกว่าตนมีการเชื่อมต่อถึงกันน้อยลง แปลกแยกจากคนอื่นๆ และรู้สึกว่าตนไม่สามารถมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ จนท้ายที่สุดพวกเขาอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับองค์กรจริงๆ สมาชิกในทีมทุกคนต้องรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนในความสำเร็จของกันและกัน ตลอดจนความสำเร็จของธุรกิจ

สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด

สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด

เมื่อคุณจัดการกับสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด คุณอาจต้องคำนึงถึงบางสิ่งซึ่งคุณอาจไม่เคยคำนึงถึงมาก่อน หนึ่งในสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือพื้นที่ทางกายภาพ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีพนักงานทั้งหมด 150 คน คุณไม่จำเป็นต้องมีอาคารที่สามารถรองรับพนักงานทั้งหมดได้ในเวลาเดียวกัน

พนักงานบางคนอาจมาทำงานที่สำนักงานในวันอังคารและวันพุธเท่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆ อาจเข้ามาทำงานในช่วงสุดสัปดาห์ คุณจึงสามารถใช้ระบบโต๊ะทำงานส่วนกลางแทนได้ คุณจำเป็นที่จะต้องเข้าใจอย่างถูกต้องว่าผู้คนจะเข้ามาที่อาคารเมื่อใด เพื่อให้คุณค้นพบพื้นที่ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ เช่น สำนักงานของ Facebook ในบางประเทศเปิดให้พนักงานมาทำงานจำนวน 10% แต่รับคำขอจากพนักงานที่จะมาทำงานในสำนักงานผ่านแบบฟอร์มออนไลน์ที่ต้องเวลารออนุมัติ 1-2 สัปดาห์

หลายองค์กรกำลังคิดทบทวนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานทางในพื้นที่ทางกายภาพของตนใหม่เพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้นโดยการใช้การทำงานแบบไฮบริด สำนักงานสมัยใหม่กำลังกลายเป็นพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นสำหรับการทำงานร่วมกันและการสร้างทีมมากกว่าที่ทำงานทางการแบบเต็มเวลาซึ่งมีโต๊ะเรียงรายกันอยู่มากมาย

การกำหนดพื้นที่ของคุณอาจหมายรวมถึงการจัดสรรพื้นที่ทางสังคมให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้คนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่เมื่ออยู่ในที่ทำงาน อีกไอเดียหนึ่งคือการมีศูนย์รวมที่ผู้คนสามารถมาพบปะลูกค้าและมีห้องประชุมที่มีอุปกรณ์ครบครันสำหรับทั้งการประชุมแบบเห็นหน้าและการประชุมแบบออนไลน์ บางบริษัทยังลงทุนในเทคโนโลยีไร้สัมผัสแบบใหม่เพื่อทดแทนพื้นผิวที่ต้องมีการสัมผัสต่างๆ เช่น ปุ่มและที่จับ เพื่อตอบสนองต่อข้อกังวลด้านสุขภาพจากโควิด

เคล็ดลับ 6 ข้อที่จะช่วยสร้างการทำงานแบบไฮบริดที่เหมาะสม

เคล็ดลับ 6 ข้อที่จะช่วยสร้างการทำงานแบบไฮบริดที่เหมาะสม

การแค่บอกว่าพนักงานสามารถแบ่งเวลาระหว่างที่บ้านกับที่ทำงานแล้วหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยนั้นไม่เพียงพอ คุณจะต้องพัฒนากลยุทธ์ในที่ทำงานแบบไฮบริดที่มีความมั่นคงด้วย ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรพิจารณาเพื่อช่วยให้คุณดำเนินการได้อย่างถูกต้อง

1) ความโปร่งใสในนโยบายการทำงานแบบไฮบริด

กำหนดนโยบายที่สรุปสิ่งที่คาดหวังจากพนักงานของคุณอย่างชัดเจน หากพนักงานบางคนได้รับอนุญาตให้ทำงานจากทางไกลแต่คนอื่นๆ กลับไม่ได้รับโอกาสนั้น คุณต้องแจ้งให้พนักงานรู้เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความขุ่นเคือง คำถามที่คุณต้องตอบให้ได้มีดังนี้

  • พนักงานควรมาที่ทำงานทั้งหมดกี่วัน
  • งานใดที่เมื่อทำแบบเจอหน้ากันแล้วดีกว่าทำทางออนไลน์
  • พนักงานบางคนควรอยู่ในสำนักงานในเวลาเดียวกันเพื่อประชุมและทำงานร่วมกันหรือไม่

คุณควรรับความเห็นเกี่ยวกับนโยบายใหม่และทำการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะพบรูปแบบไฮบริดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด

2) ตารางการทำงานแบบไฮบริด

เช่นเดียวกับหลายๆ ธุรกิจที่มีการทำงานแบบกะหมุนเวียนกันไป ให้ใช้แนวคิดเดียวกันนี้สำหรับพนักงานแบบไฮบริดของคุณ วิธีนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้พนักงานต้องอยู่ที่ทำงานกับผู้คนกลุ่มเดิมตลอด หรือต้องอยู่ในสำนักงานโดยลำพังในขณะที่คนอื่นๆ ทำงานจากที่บ้าน

นอกจากจะแสดงให้เห็นว่าพนักงานทำงานอยู่ที่ใดแล้ว การหมุนเวียนพนักงานยังช่วยให้คุณเห็นว่าพนักงานแต่ละคนทำงานอะไรอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะรับทราบข่าวสารไปในทางเดียวกันได้อีกด้วย หรือคุณอาจจะใช้ปฏิทินที่ใช้ร่วมกันเพื่อแจ้งให้พนักงานทราบเมื่อมีคนวางแผนที่จะมาทำงานในสำนักงานก็ได้

3) การจัดสรรงาน

หัวหน้าทีมสามารถปรับตารางเวลาให้เหมาะสมได้โดยอิงตามประเภทของงานที่เหมาะที่จะทำในสำนักงานหรือทำที่บ้าน

งานที่ทำคนเดียวได้เป็นงานที่คุณสามารถทำให้เสร็จได้โดยไม่ต้องใช้ข้อมูลจากผู้อื่น เช่น การป้อนข้อมูลหรือการรวบรวมงานนำเสนอแบบเดี่ยว งานแบบนี้เหมาะสำหรับทำที่บ้าน ซึ่งผู้คนสามารถจัดตารางเวลาให้ทำงานนานๆ โดยไม่มีสิ่งรบกวนได้ ในทางกลับกัน งานที่ต้องทำร่วมกันคนอื่นจะเหมาะกับสภาพแวดล้อมในสำนักงานมากกว่า งานเหล่านี้เป็นงานที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม การระดมความคิด การพูดคุย หรือความคิดสร้างสรรค์

4) ความไว้วางใจ

ความไว้วางใจเป็นรากฐานของที่ทำงานแบบไฮบริด แม้การทำงานจากที่บ้านจะประสบความสำเร็จในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก แต่ผู้จัดการบางคนยังคงคิดว่าพนักงานที่ทำงานจากทางไกลมักฉวยโอกาสจากข้อได้เปรียบของความมีอิสระที่ตนมีและมักจะเอื่อยเฉื่อยในการทำงาน ผู้จัดการต้องไว้วางใจผู้ที่ทำงานจากทางไกลว่าสามารถทำงานให้เสร็จได้โดยไม่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ตลอดเวลา

การวิจัยของ Gartner ระบุว่าพนักงานที่รู้สึกว่าได้รับความไว้วางใจจะมีส่วนร่วมมากกว่าถึง 76% เมื่อเทียบกับพนักงานในที่ทำงานที่มีระดับความไว้วางใจต่ำ การเรียนรู้ที่จะปล่อยวางสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สงบกว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพนักงานที่ทำงานจากทางไกลซึ่งมักจะรู้สึกว่าต้องทำงานนานกว่าเพื่อพิสูจน์ว่าตนทำงานหนัก นั่นหมายความว่าคุณยังคงต้องถามไถ่พนักงานเหล่านั้นเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนมีความสุขดี

5) การสื่อสาร

การสื่อสารกับพนักงานที่ทำงานจากทางไกลนั้นแตกต่างจากพนักงานที่อยู่ในที่ทำงาน และคุณอาจต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น คุณอาจต้องสอบถามสารทุกข์สุกดิบให้บ่อยขึ้นเพื่อดูว่าพนักงานจัดการกับการทำงานที่บ้านอย่างไร และดูว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นด้านไอที ต้องการเก้าอี้ที่ดีขึ้น หรือคำแนะนำด้านการฝึกสติหรือไม่

การทำแบบสำรวจย่อยๆ และเซสชั่น "ถามฉันได้ทุกอย่าง" เป็นประจำจะช่วยให้คุณได้รับความเห็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและขวัญกำลังใจของพนักงานในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดได้ทันที แสดงออกว่าคุณยินดีรับความเห็นแบบตรงๆ ยอมรับการเผยความอ่อนแอออกมา รวมถึงให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง

6) การยอมรับความแตกต่าง

มอบแนวคิดเห็นที่ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีเกี่ยวกับการยอมรับความแตกต่างและวิธีที่ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด สิ่งสำคัญคือต้องไม่สุมไฟเพิ่มให้ประเด็นความไม่เทียมกันที่มีอยู่ด้วยการไม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่ทำงานจากทางไกลเป็นหลัก เช่น ผู้ที่ต้องดูแลผู้อื่น เหล่าแม่ๆ ที่ต้องทำงาน และคนพิการ ผู้คนมักจะมีอคติโดยไม่รู้ตัวต่อคนที่ทำงานที่บ้าน ดังนั้นตรวจดูให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับโอกาสและรู้สึกมีค่าเท่ากับผู้ที่กลับมาที่สำนักงาน

ผู้จัดการควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการฝึกอบรมพนักงานใหม่เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ ในขั้นต้น อาจเป็นความคิดที่ดีที่พวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในที่ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่สามารถสอนงานและตอบคำถามที่พวกเขาอาจมี เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ทำงานแบบไฮบริดรูปแบบใหม่ของคุณ

ก้าวเข้าสู่อนาคตแห่งการทำงาน

สมัครเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากเราเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานและอนาคตของเมตาเวิร์ส

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้เกี่ยวกับสำนักงานไร้พรมแดนไปพร้อมกัน

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้เกี่ยวกับสำนักงานไร้พรมแดนไปพร้อมกัน


โพสต์ล่าสุด

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 11 นาที

อนาคตแห่งการทำงาน

การทำงานในเมตาเวิร์สเป็นอย่างไร การทำงานแบบไฮบริดจะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่ แม้คุณจะไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่รออยู่ข้างหน้าได้ 100% แต่อย่างน้อยคุณก็สามารถเตรียมองค์กรของคุณให้พร้อมสำหรับอนาคตได้

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 12 นาที

การทำงานแบบไฮบริด: ยินดีต้อนรับสู่วิธีการทำงานรูปแบบใหม่

คุณต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานหรือทำงานจากที่บ้านต่อไป แล้วถ้าเอาทั้งสองรูปแบบมารวมกันล่ะ การทำงานแบบไฮบริดอาจเป็นวิธีที่เหมาะกับองค์กรของคุณที่สุดก็เป็นได้

อนาคตแห่งการทำงาน | ใช้เวลาอ่าน 6 นาที

เราจะทำงานอย่างไรในเมตาเวิร์ส

ตั้งแต่การทำงานร่วมกันในทีมไปจนถึงวัฒนธรรมของบริษัท นี่คือ 5 วิธีที่เมตาเวิร์สและ Virtual Reality จะเปลี่ยนอนาคตในการทำงานและการทำธุรกิจ