การเป็นผู้นำในอนาคตของการทำงาน
ไม่ใช่แค่ภูมิทัศน์การทำงานเท่านั้นที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป การเป็นผู้นำก็ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับความท้าทายและเพื่อคว้าโอกาสที่กำลังจะมาถึงด้วยเช่นกัน เริ่มต้นด้วยโพสต์นี้ได้เลย


ผู้นำในอนาคตควรทำอย่างไร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีล้วนเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานของเรา ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายนี้เองที่กำลังจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ในขณะเดียวกัน การระบาดใหญ่ทั่วโลกก็ได้บีบให้นายจ้าง พนักงาน และผู้นำธุรกิจต้องประเมินความหมายของการเป็นผู้นำกันใหม่อีกครั้ง
เทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงการเป็นผู้นำในอนาคตของการทำงานอย่างไร
เทคโนโลยีเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร AI, ระบบอัตโนมัติ, บิ๊กดาต้า และเมตาเวิร์สได้สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสถานที่ทำงานไปอย่างสิ้นเชิง และผู้นำที่ใช้สิ่งเหล่านี้อย่างเต็มศักยภาพก็อาจเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอนาคตของการทำงานก็เป็นได้ ผู้นำที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จจะทำสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
- กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจที่ผสานการทำงานกับเทคโนโลยี
- สร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
- เปิดใจและพร้อมที่จะยอมรับการพัฒนาใหม่ๆ และเปิดรับความท้าทายด้านดิจิทัล
- ใช้ประโยชน์จากชุดแหล่งข้อมูลที่กว้างขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ และคอยมองหาโอกาสเพื่อนำระบบอัตโนมัติไปใช้อย่างต่อเนื่อง
- จัดหาเทคโนโลยีและการฝึกอบรมที่จำเป็นสำหรับพนักงาน
- ให้ความสำคัญกับการผสานการทำงานและการกำกับดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีต่างๆ สามารถทำงานร่วมกับระบบเดิมและระบบของบุคคลที่สามได้
- คิดค้นและออกแบบระบบและกระบวนการใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพให้สูงสุด ในขณะที่มีส่วนร่วมและสนับสนุนพนักงานไปพร้อมกัน
- ลงทุนในการเพิ่มพูนทักษะ ความพร้อมใช้งานของเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์หรือมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมและโอกาสในการทดลองใช้งานมารองรับด้วย
- จัดการเทรนด์การทำงานจากทางไกลและทางมือถือด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี Virtual Reality และ Extended Reality ใช้เทคโนโลยีระบบคลาวด์เพื่อรองรับการทำงานที่คล่องตัวและยืดหยุ่น
ทักษะในการเป็นผู้นำสำหรับอนาคตของการทำงาน
สถานที่ทำงานในอนาคตได้สร้างความท้าทายด้านทักษะให้กับเหล่าผู้นำ โดยความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่วิธีที่ผู้จัดการควบคุมและพัฒนาพนักงานของตนก็เป็นเสาหลักพื้นฐานแห่งความสำเร็จอีกประการหนึ่ง
ผู้นำจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นไปที่วินัย หน้าที่ และบทบาทไปเป็นการตระหนักถึงความสามารถของแต่ละบุคคลและมองไปที่วิสัยทัศน์แบบองค์รวมเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนสามารถมอบให้แก่ธุรกิจได้มากขึ้น ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องให้ความสนใจกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ และนี่คือตัวอย่างบางส่วน
มาพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานกัน
เรากำลังพยายามค้นหาคำตอบของคำถามที่สำคัญที่สุดที่เราทุกคนต่างสงสัยเกี่ยวกับการทำงานในเมตาเวิร์ส มาดูกัน









สไตล์การจัดการ
สไตล์การเป็นผู้นำแบบชอบสั่งการและควบคุมอาจไม่ใช่สไตล์ที่เหมาะกับสถานที่ทำงานแห่งอนาคต ผู้นำต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ผู้นำที่ให้ความสำคัญกับอนาคตจะพยายามสร้างความสัมพันธ์และสร้างสะพานเชื่อมสิ่งต่างๆ พวกเขาจะมองไปไกลกว่าการสร้างเครือข่ายแบบเดิมๆ โดยมองไปถึงการเป็นพาร์ทเนอร์ที่กว้างขวางและยั่งยืนยิ่งขึ้นและมีความเข้าใจระหว่างทีม ซัพพลายเออร์ พาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรม และตลาดต่างๆ
ขณะที่เทคโนโลยีและรูปแบบการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้นำเองก็ต้องพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งดีๆ ของแหล่งข้อมูลใหม่หรือแหล่งข้อมูลที่ไม่คุ้นเคย ตลอดจนมีส่วนร่วมกับแหล่งข้อมูลเหล่านั้น โดยต้องยอมรับว่าอาจจะมีความคลุมเครือและยอมให้มีความยืดหยุ่นบ้าง
การฝึกอบรมโดยอิงตามงานก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน โดยจะเปลี่ยนจากทักษะเฉพาะ (การพัฒนากลยุทธ์และการวิเคราะห์ด้านการเงิน) ไปเป็นความสามารถในการสื่อสารและการตีความ (การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการหาแนวทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง)
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวัฒนธรรมองค์กรคือการเปลี่ยนจากการเป็นผู้นำแบบ "บนลงล่าง" ไปเป็นสภาพแวดล้อมที่สร้างผู้นำในทุกระดับ ซึ่งก็คือสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสมาชิกในทีมและมอบความท้าทายที่ให้ผลดี ตลอดจนมอบความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องให้กับทุกคนนั่นเอง
เรามักจะมองว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องมักจะเป็นเรื่องของสตาร์ทอัพและธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเสียมากกว่า ทว่าปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงได้กลายมาเป็นสิ่งที่หลายๆ ธุรกิจต้องเผชิญ พนักงานคาดหวังที่จะมีส่วนร่วมในที่ทำงานมากขึ้น และเพื่อตอบสนองความคาดหวังเหล่านั้น บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องทบทวนนโยบาย ระบบ และวิธีการทำงาน ตลอดจนกระบวนการด้านไอทีและทรัพยากรบุคคลเสียใหม่
ความชัดเจนและการเปิดกว้าง
เนื่องด้วยการเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของพนักงาน ผู้นำธุรกิจจึงควรตระหนักถึงความต้องการที่จะทำให้สิ่งต่างๆ มีความชัดเจน เปิดกว้าง และพร้อมที่จะอธิบายถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร ในโลกของการทำงานแบบไฮบริดที่พนักงานไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ตลอดเวลา ผู้นำจำเป็นต้องแสดงจุดประสงค์ที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงการทำสัญญาที่ตนไม่สามารถรักษาได้ ตลอดจนเชิญชวนและสนับสนุนการมีส่วนร่วมและไอเดียที่มาจากทุกระดับเพื่อสร้างความไว้วางใจ
การสร้างทักษะ
เทคโนโลยีและรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปนั้นจำเป็นต้องใช้ทั้งทักษะใหม่ๆ และทักษะจากการปรับตัว ซึ่งอาจมาใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การเพิ่มพูนทักษะ ซึ่งก็คือการเพิ่มพูนความสามารถที่พนักงานมีอยู่แล้วเพื่อพัฒนาบทบาทปัจจุบันให้ดีขึ้น และการสร้างทักษะใหม่ ซึ่งก็คือการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อที่จะเอาไปใช้ในบทบาทใหม่
การเพิ่มพูนทักษะมีความเกี่ยวข้องมากเป็นพิเศษในขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ทำลายอุปสรรคเดิมๆ และส่งเสริมให้เกิดวิธีการทำงานที่คล่องตัวและสร้างสรรค์มากขึ้น การลงทุนไปกับการเพิ่มพูนทักษะของบุคลากรยังช่วยป้องกันการสูญเสียพนักงานที่ลาออกไปเพื่อที่จะมีสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น หรือเพื่อหางานที่ยืดหยุ่นมากกว่า อีกทั้งยังช่วยให้นายจ้างสามารถมอบโอกาสในการเรียนรู้ การมีส่วนร่วม และการเติบโตในที่ทำงานที่มากขึ้นให้แก่ทีมของตน
การสร้างทักษะใหม่นั้นยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีกเมื่อระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยลดความจำเป็นในการใช้มนุษย์ในการทำงานที่ซ้ำซากจำเจหรือคาดการณ์ได้ หรือในส่วนที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ไป การอุดช่องโหว่ให้กับทักษะที่เพิ่งค้นพบใหม่เหล่านี้อย่างทันท่วงทีจะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของบทบาทที่อาจเกิดขึ้นและป้องกันช่องโหว่เพิ่มเติมในอนาคต
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะใช้ความคิดริเริ่มและลงทุนไปกับการเพิ่มพูนทักษะและการสร้างทักษะใหม่เพื่อแสดงความชื่นชมในคุณค่าของทีมและป้องกันการสูญเสียผู้มีความสามารถอันทรงคุณค่า ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะต้องประเมินกระแสงานและหน้าที่ต่างๆ กันใหม่เพื่อให้งานมีโครงสร้างตามความสามารถมากกว่าบทบาทหรือตำแหน่งงานตามลำดับชั้น
การบริหารจัดการด้วยความเข้าอกเข้าใจ
เมื่อองค์กรต้องการเน้นพนักงานเป็นศูนย์กลางแล้ว องค์กรจำเป็นต้องดำเนินการมากกว่าแค่การให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานและแนวทางปฏิบัติ สมาชิกในทีมอาจกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในที่ทำงาน พวกเขาอาจต้องการเวลาปรับตัวให้เข้ากับการทำงานแบบไฮบริดหรือวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ หรือต้องการเวลาในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่มากเกินไปก็อาจนำไปสู่ความเหนื่อยหน่ายได้ เหตุผลที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงานถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจในอนาคต
ผลกระทบที่จะคงอยู่ต่อไปอย่างหนึ่งจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกคือวิธีที่พนักงานจัดลำดับความสำคัญของความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน และให้ความสำคัญกับค่านิยมของบริษัทมากกว่าเม็ดเงิน การวิจัยของ Gartner พบว่า 65% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าการระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้พวกเขาใคร่ครวญถึงบทบาทที่การทำงานมีต่อชีวิตของพวกเขามากขึ้น และ 56% ตอบว่าการระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้พวกเขาอยากช่วยเหลือสังคมมากขึ้น
ดังนั้น ผู้คนจึงมองหางานที่มีเป้าหมายและมองหาบริษัทที่มีหลักการตรงกับตนเอง ผู้นำจำเป็นต้องเข้าใจถึงแรงจูงใจเหล่านี้ เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสทางธุรกิจ และเคารพค่านิยม ความต้องการเฉพาะ และสถานการณ์ต่างๆ ของพนักงาน
ปรับใช้กรอบความคิดแบบเติบโต
ผู้ที่มีกรอบความคิดแบบเติบโตจะเชื่อว่าตนสามารถพัฒนาความสามารถได้ และสติปัญญาลักษณะนั้นจะเกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ ผู้นำเหล่านี้จะประสบความสำเร็จในสถานที่ทำงานแห่งอนาคต กรอบความคิดแบบเติบโตให้การสนับสนุนแนวคิดที่ว่าวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดมาจากการสร้างสรรค์และการทดลอง
กรอบความคิดแบบนี้จะช่วยให้ผู้นำสามารถให้ความสำคัญกับจุดแข็งของพนักงานและช่วยพวกเขาพัฒนาความสามารถใหม่ๆ ไปพร้อมกันได้ กรอบความคิดแบบเติบโตนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ผู้คนสามารถทดลองไอเดียใหม่ๆ หรือไอเดียที่ไม่คุ้นเคย และสัมผัสกับทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวไปตลอดกระบวนการ
ปรับตัวให้เข้ากับการทำงานแบบไฮบริด
ขณะนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของบุคลากรที่ทำงาน งานที่ทำ สถานที่ทำงาน และเวลาทำงาน การทำงานจากทางไกลในกรณีฉุกเฉินระหว่างการระบาดใหญ่ทั่วโลกได้เปลี่ยนเป็นโอกาสที่จะทำให้หลายๆ องค์กรได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่
ที่ทำงานแบบไฮบริดจะมีความยืดหยุ่นด้านเวลาและสถานที่ แต่ก็ยังต้องการโซลูชั่นใหม่ๆ หลายอย่าง เช่น การสื่อสารภายในและภายนอก การสร้างความไว้วางใจ การสตรีมงาน และการรายงาน ผู้นำที่ต้องการทำให้การทำงานแบบไฮบริดประสบความสำเร็จจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการรับฟังพนักงาน ทำความเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ และให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในแผนของบริษัทในอนาคต
ถ่ายทอดวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต
เป้าหมายของบริษัทมีความสำคัญต่อพนักงาน การศึกษาของ Bain & Company เผยว่าองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจะประสบความสำเร็จมากกว่าองค์กรที่ไม่มีวิสัยทัศน์1 ทว่าวิธีที่องค์กรใช้สร้างพันธกิจและวิสัยทัศน์ก็กำลังเปลี่ยนไปเช่นกัน
ในอดีต ผู้นำธุรกิจจะเป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบวิสัยทัศน์และถ่ายทอดวิสัยทัศน์เหล่านั้นผ่านลำดับชั้นต่างๆ ในองค์กร แต่ในที่ทำงานแห่งอนาคต คุณจะสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันและแบ่งปันวิสัยทัศน์นั้นทั้งในระดับทีมและระดับบุคคล
สิ่งที่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จะทำมีดังต่อไปนี้
- ใช้แนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดอนาคตของธุรกิจ โดยทำให้แน่ใจว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องสามารถมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างความสำเร็จของธุรกิจและการเติบโตส่วนบุคคลได้
- แจ้งให้สมาชิกทุกคนในทีมทราบข่าวสารอยู่เสมอและเน้นที่วิสัยทัศน์เป็นสำคัญ
- อธิบายอย่างชัดเจนว่าผลงานของทีมหรือพนักงานส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างไร
- แนะนำวิสัยทัศน์ต่อทีมพร้อมยกตัวอย่างแบบเจาะจงเพื่อให้ทุกคนทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ
- กำหนดเครื่องมือและกระบวนการที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย
- สร้างเส้นทางสู่เป้าหมายที่ชัดเจน และบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้า
- สนับสนุนให้คนอื่นๆ เป็นผู้นำในองค์กร
- มีส่วนร่วมและถ่ายทอดการพัฒนาและการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ออกไปอย่างทั่วถึง สม่ำเสมอ และชัดเจน
แนวทางที่ครอบคลุมซึ่งสนับสนุนพนักงานในทุกระดับจะเป็นส่วนสำคัญของสถานที่ทำงานแห่งอนาคต

ก้าวเข้าสู่อนาคตแห่งการทำงาน
สมัครเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากเราเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานและอนาคตของเมตาเวิร์ส
เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว