ผู้นำคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญ

ความเป็นผู้นำนั้นมีอะไรมากกว่าการกำหนดนโยบายจากผู้บริหารถึงพนักงาน ผู้นำเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อทั้งองค์กรและสามารถทำให้บริษัทของคุณประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้ พวกเราทุกคนรู้ว่าผู้นำนั้นดีหรือไม่ดีเมื่อเราได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่แท้จริงแล้วผู้นำคืออะไรกันแน่ ผู้นำเป็นแค่ ‘คนที่มีผู้ติดตาม’ ดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจัดการ Peter Drucker กล่าวไว้สั้นๆ หรือเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น

มีความเห็นมากมายว่าผู้นำคืออะไร เช่นเดียวกับประเภทต่างๆ ของผู้นำ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ผู้นำคือผู้สร้างวิสัยทัศน์แล้วคัดสรรผู้คนมาเพื่อทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง WCH Prentice ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นผู้นำกล่าวไว้ว่า “ความเป็นผู้นำคือการบรรลุเป้าหมายด้วยการชี้นำของผู้ช่วยที่เป็นมนุษย์”

เรียนรู้วิธีเป็นผู้นำบริษัทที่เชื่อมต่อถึงกัน

ดาวน์โหลดอีบุ๊กของเราเพื่อเรียนรู้เหตุผลที่ซีอีโอรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมาย ความไว้วางใจ ความถูกต้อง และความซื่อสัตย์เหนือสิ่งอื่นใด

ผู้นำบรรลุเป้าหมายนี้โดยใช้การผสมผสานระหว่างการสร้างแรงจูงใจ การโน้มน้าว การสื่อสารทางธุรกิจ และการสนับสนุน ดังที่ Warren Bennis กล่าวว่า "ผู้นำคือผู้คนที่เชื่อจากใจจริงว่าตัวเองสามารถจูงใจให้ผู้อื่นมีความฝันเดียวกันได้” แต่ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์มาตรฐานหรือกลยุทธ์การสร้างแรงบันดาลใจ ผู้นำต้องมีความสามารถในการขับเคลื่อนผู้คนและองค์กรมุ่งไปยังเป้าหมายร่วมกัน

นอกจากนี้ ผู้นำจะใช้ทักษะของตนเองในการนำองค์กรผ่านช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเมื่อบริษัทต่างๆ เปลี่ยนไปใช้วิธีการทำงานแบบผสมผสานเนื่องจากการระบาดใหญ่ทั่วโลก

ผู้นำคือใคร

ผู้นำคือใคร

ในขณะที่คนเรามักมองว่าผู้นำเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานระดับสูง แต่ความเป็นผู้นำก็ไม่ได้อยู่ที่บทบาทของบุคคลเท่ากับทัศนคติและการปฏิบัติตัว

เราต่างเคยเห็นตัวอย่างของผู้จัดการระดับท็อปที่ทำงานที่มีประโยชน์ต่อบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ไม่เคยทำตัวเป็นผู้นำจริงๆ เลย พวกเขาทำให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแต่ก็ไม่ได้จูงใจหรือสร้างแรงบันดาลใจแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันก็อาจมีคนในตำแหน่งที่ต่ำกว่าในองค์กรซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนร่วมทีมและผนึกกำลังทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายของบริษัท องค์กรต่างๆ เองก็รับรู้เรื่องนี้ โดย 83% เชื่อว่าการสร้างผู้นำในทุกระดับของบริษัทเป็นเรื่องที่สำคัญ

การให้ความสำคัญกับเป้าหมายของบริษัทอย่างแน่วแน่ทำให้ผู้นำองค์กรแตกต่างจากผู้นำชุมชนและนักการเมือง ผู้นำองค์กรที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่อะไรที่เป็นนามธรรม ท้ายที่สุดแล้วผู้คนจะตัดสินผู้นำจากประสิทธิภาพขององค์กรในด้านการมีส่วนร่วมของพนักงาน ผลิตภาพ และผลกำไร

อย่างที่เราจะเห็นว่า มีวิธี ‘ที่ใช่’ มากกว่าหนึ่งวิธีในการเป็นผู้นำ สิ่งที่ได้ผลในองค์กรหนึ่งและในสถานการณ์หนึ่งอาจไม่ได้ผลสำหรับองค์กรอื่น แต่ผู้นำที่มีประสิทธิภาพในแนวทางหรือขอบเขตใดก็ตามเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบริษัทอาจตกต่ำอย่างรวดเร็วหากปราศจากการชี้นำของผู้นำ ดังนั้น ทุกองค์กรควรรู้ว่าผู้นำที่ดีสำหรับองค์กรของตนเองมีลักษณะอย่างไร

เหตุใดผู้นำจึงมีความสำคัญ

เหตุใดผู้นำจึงมีความสำคัญ

ผู้นำมีความสำคัญ เพราะผู้นำจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คน จูงใจผู้คนให้พัฒนาการทำงานไปสู่อีกระดับ และยึดถือค่านิยมและวัฒนธรรมของบริษัท ผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะทำดังนี้

  • สร้างขวัญกำลังใจ

    ผู้นำและขวัญกำลังใจของพนักงานมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง การศึกษาของ University of South Africa แสดงให้เห็นว่าผู้นำที่ป้อนข่าวสารให้พนักงานอยู่เสมอ กำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและเปิดกว้างอย่างตรงไปตรงมา มีส่วนสัมพันธ์กับความพึงพอใจในระดับที่สูง และยังช่วยลดความคิดที่จะลาออกจากมหาวิทยาลัยของผู้คนอีกด้วย

  • เพิ่มการมีส่วนร่วม

    ความเชื่อมั่นในผู้นำเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ได้รับการระบุว่าช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน ตามข้อมูลของ Gallup พนักงานที่ได้รับการกำกับดูแลโดยทีมผู้นำที่มีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 39% ที่จะกระตือรือร้นตามไปด้วย

  • สร้างความเชื่อมโยง

    การสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจกันระหว่างผู้นำและทีมไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้นำเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างวัฒนธรรมของการเปิดกว้างและความไว้วางใจไปทั่วทั้งองค์กรอีกด้วย ในปัจจุบัน ซีอีโอ ผู้นำ และธุรกิจต่างๆ มีระดับความไว้วางใจสูงกว่านักการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่

  • สร้างความมั่นใจ

    ผู้นำที่มีอิทธิพลสูงจะกระตุ้นให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจในความสามารถและงานของตนเอง ซึ่งส่งผลทางอ้อมต่อประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดียิ่งขึ้น

  • สร้างวัฒนธรรมองค์กรในเชิงบวก

    ผู้นำเป็นผู้ส่งผ่านวัฒนธรรมองค์กรที่สำคัญ ทั้งในการสร้างและการแบ่งปันความรู้สึกที่ได้รับจากการทำงานให้กับองค์กรของตน ผู้นำเป็นผู้กำหนดลักษณะของวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งขององค์กรโดยรวมและภายในทีมของตัวเอง

  • ก่อให้เกิดนวัตกรรม

    นวัตกรรมเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ผู้นำที่มีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งจำเป็นในการนำพนักงานผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงอย่างราบรื่น ดังที่ McKinsey ได้กล่าวไว้ว่าเป็นการ "สร้างขวัญกำลังใจเพื่อครองใจพนักงาน"

ผู้นำที่ดีสามารถส่งผลอันยิ่งใหญ่ต่อองค์กรได้ แต่ในทางกลับกัน ผู้นำที่ไม่ดีก็สามารถก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลได้เช่นกัน

  • กำลังใจถดถอย

    หากผู้คนรู้สึกว่าไม่มีใครเห็นค่าหรือถูกกลั่นแกล้ง สิ่งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสุขภาวะและผลิตภาพของพวกเขา นอกจากนี้ กำลังใจที่ไม่ดียังจะทำให้พวกเขามีแนวโน้มจะลาออกอีกด้วย

  • พนักงานลาออกเป็นจำนวนมาก

    เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่ตอบคำถามในแบบสำรวจโดย Udemy บอกว่าตนเองจะลาออกจากงานหากมีผู้จัดการที่แย่ หากลองพิจารณาว่าบริษัทในสหรัฐฯ เฉลี่ยแล้วต้องจ่ายเงิน 4,000 ดอลลาร์เพื่อจ้างพนักงานใหม่หนึ่งคน ผู้นำที่ไม่ดีก็อาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

  • ประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่ดี

    บ่อยครั้ง ผลิตภาพและประสิทธิภาพการทำงานเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของบริษัท โดยข้อมูลจากการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้คนที่มีผู้นำที่ไม่น่าติดตามมีโอกาส 93% ที่จะได้รับคะแนนผลิตภาพอยู่ในช่วง 10% ล่างสุด

  • ผู้นำ ‘อย่างไม่เป็นทางการ’ ที่ไม่สามารถจัดการได้

    เมื่อผู้นำไม่เข้มแข็ง บ้าอำนาจ หรือห่างเหิน ผู้อื่นก็จะก้าวขึ้นมาแทนที่ ผู้นำ ‘อย่างไม่เป็นทางการ’ เหล่านี้มักเป็นที่ชื่นชอบแต่อาจไม่เห็นพ้องกับค่านิยมขององค์กร หรือหัวรั้นและมีความคิดในแง่ลบ การปล่อยให้ความคิดเชิงลบเช่นนี้ก่อตัวภายในองค์กรสามารถเร่งการเติบโตของวัฒนธรรมเชิงลบในที่ทำงานได้

  • วัฒนธรรมเชิงลบในที่ทำงาน

    ผู้นำที่ข่มเหงรังแกหรือเลือกที่รักมักที่ชังอาจเป็นสาเหตุของวัฒนธรรมที่ไม่ดี ซึ่งทำให้การมาทำงานเป็นประสบการณ์อันไม่พึงประสงค์ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การลาออกของพนักงานจำนวนมากและการให้บริการที่ไม่มีคุณภาพ จนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของทั้งบริษัทแย่ลงในที่สุด

อะไรคือความแตกต่างระหว่างฝ่ายบริหารจัดการและผู้นำ

อะไรคือความแตกต่างระหว่างฝ่ายบริหารจัดการและผู้นำ

เรามักเห็นว่าผู้นำและผู้จัดการเป็นคนคนเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ผู้นำไม่จำเป็นต้องเป็นผู้จัดการเสมอไป และแม้ว่าการบริหารจัดการจะมีองค์ประกอบของความเป็นผู้นำ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบทบาทมักจะเชื่อมโยงกันและมีความสำคัญทั้งคู่

เพราะทั้งผู้จัดการและผู้นำต่างก็ทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายองค์กรเหมือนกัน แต่ในขณะที่ผู้นำสร้างวิสัยทัศน์สำหรับสิ่งที่ตนต้องการให้เกิดขึ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งนั้น ผู้จัดการจะเน้นที่รายละเอียดของวิธีไปสู่เป้าหมายนั้นมากกว่า พวกเขาคือคนที่จะควบคุมดูแลกระบวนการต่างๆ และช่วยบริษัทให้บรรลุเป้าหมายด้วยการทำงานและแนวทางปฏิบัติในทุกๆ วัน ส่วนผู้นำจะรับผิดชอบเรื่องการโน้มน้าวและสร้างความกระตือรือร้นให้กับผู้อื่น

คนบางคนให้คำจำกัดความว่าการบริหารจัดการค่อนไปทางวิทยาศาสตร์ ส่วนการเป็นผู้นำเป็นเรื่องของศิลปะมากกว่า มาเจาะลึกเกี่ยวกับข้อแตกต่างบางประการระหว่างผู้จัดการและผู้นำกันดีกว่า

ผู้นำ

มีอำนาจตามคุณสมบัติ

มุ่งเน้นด้านวิสัยทัศน์

ปฏิบัติงานอย่างค่อนข้างอิสระ

มุ่งเน้นด้านนวัตกรรม

มองภาพใหญ่เป็นหลัก

ผู้จัดการ

มีอำนาจตามตำแหน่ง

มุ่งเน้นด้านกระบวนการ

ปฏิบัติงานภายในองค์กร

มุ่งเน้นด้านโครงสร้าง

ใส่ใจในรายละเอียดเป็นหลัก

ดังนั้น ทั้งสองบทบาทจึงต้องทำงานร่วมกัน ในขณะที่ผู้นำสนใจด้านการสร้างนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจ ผู้จัดการจำเป็นต้องมุ่งเน้นการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นความจริง ความมุ่งมั่นในการใส่ใจเป้าหมายทั้งหมดของผู้นำอาจทำให้พวกเขาไม่ได้เตรียมรับมือหรือไม่ทันตระหนักถึงอุปสรรคต่างๆ จึงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการในการระบุอุปสรรคเหล่านี้และหาวิธีก้าวข้ามไปให้ได้

โดยปกติแล้ว ผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีคุณสมบัติบางประการที่เกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำ เพื่อที่จะได้จูงใจให้ผู้คนสนับสนุนวิสัยทัศน์ของผู้นำ แม้ว่าคุณสามารถพบผู้นำได้บ่อยครั้งในตำแหน่งระดับสูงขององค์กร แต่ผู้นำเหล่านั้นก็อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องในด้านการบริหารจัดการเสมอไป

คุณสมบัติสำคัญในการเป็นผู้นำคืออะไร

คุณสมบัติสำคัญในการเป็นผู้นำคืออะไร

ผู้คนมองว่าผู้นำต้องมีคุณลักษณะบางอย่าง และมีการถกเถียงกันอย่างมากมายว่าคุณลักษณะเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหรือสามารถเรียนรู้ได้ CIPD ซึ่งเป็นองค์กรด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลพูดถึงองค์ประกอบสำคัญของผู้นำว่าคือ ‘การแสดงออกของคุณสมบัติส่วนบุคคลอย่างชาญฉลาด’ ถ้าอย่างนั้นส่วนประกอบส่วนบุคคลที่สำคัญสำหรับผู้นำเหล่านี้มีอะไรบ้าง

  • ความซื่อสัตย์

    การเป็นผู้นำที่มีศีลธรรมและจริยธรรมเป็นได้รับการให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกหลังจากเหตุการณ์วิกฤติการเงิน และกลับมาได้รับการให้ความสำคัญอีกครั้งในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสโคโรน่า ผู้คนมองผู้นำเป็นเครื่องชี้วัดศีลธรรม ดังนั้นการที่ผู้นำแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างเสมอต้นเสมอปลายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงเวลาของความไม่แน่นอน

  • การให้ความสำคัญกับผู้คน

    ความฉลาดทางสังคมที่จำเป็นต่อการรับรู้ด้วยสัญชาตญาณ เข้าใจ และตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้อื่นถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นผู้นำ และยังเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการให้มีในตัวผู้นำของตนเองอีกด้วย 98% ของผู้ที่ร่วมทำแบบสำรวจ Harvard Business Review กล่าวว่าการแสดงความเห็นอกเห็นใจของนายจ้างนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

  • การสื่อสาร

    ผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องสร้างแรงบันดาลใจและจูงใจ ซึ่งต้องพึ่งพาความสามารถในการสื่อสารข้อความให้กับผู้คนในทุกระดับขององค์กร จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการสื่อสารของผู้นำที่ดีจึงมีความสำคัญ

  • การโน้มน้าว

    ผู้นำที่ดีจะไม่ใช้การออกคำสั่งให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ แต่จะทำให้ผู้คนปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ซึ่งหมายถึงการใช้ความฉลาดทางอารมณ์ในการโน้มน้าวและชักจูง

  • การตัดสินใจ

    ความรับผิดชอบอยู่ที่ผู้นำ ผู้นำต้องมีความแน่วแน่และมั่นใจในการตัดสินใจ และต้องเต็มใจที่จะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจทั้งหมด

  • วิสัยทัศน์

    ผู้นำต้องมองไกลกว่าปัจจุบันเพื่อสำรวจว่ามีความเป็นไปได้อะไรบ้าง ในการทำเช่นนั้น ผู้นำต้องมีความรู้อย่างละเอียดเกี่ยวกับองค์กรของตนเอง สภาพของอุตสาหกรรมที่องค์กรอยู่ และความสามารถในการจินตนาการถึงวิธีเอาชนะอุปสรรคต่างๆ

คุณสามารถเรียนรู้ทักษะการเป็นผู้นำเหล่านี้ได้หรือไม่ แม้ว่าทักษะบางอย่างเช่น ความซื่อสัตย์ อาจเป็นทักษะที่มีมาแต่กำเนิด แต่การศึกษา การฝึกฝน การได้รับบทเรียน และประสบการณ์ก็สามารถช่วยพัฒนาคุณสมบัติในการเป็นผู้นำได้เหมือนกัน

สร้างทักษะการสื่อสาร การเรียนรู้เพื่อเป็นผู้นำเสนอที่ดีจะทำให้คุณมีความมั่นใจซึ่งจะส่งผลไปยังทักษะด้านอื่นๆ เช่น การตัดสินใจ และการเรียนรู้เพื่อเป็นผู้ฟังที่ดีโดยใช้เทคนิคการฟังเชิงรุกก็จะช่วยให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นได้มากขึ้น

ดังนั้น แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้เป็นผู้นำโดยธรรมชาติตั้งแต่เกิด แต่หลายคนก็มีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำได้ เพียงแค่ต้องรู้จักดึงฝึกฝนทักษะเหล่านั้นเท่านั้น

คุณจะเป็นผู้นำทีมที่เหมาะสมได้อย่างไร

คุณจะเป็นผู้นำทีมที่เหมาะสมได้อย่างไร

เราสามารถมองผู้นำทีมได้สองรูปแบบ รูปแบบดั้งเดิมจะกำหนดให้บุคคลหนึ่งเป็นผู้นำ โดยจะต้องเป็นนักสื่อสารที่มีความสามารถและมีความมั่นใจ เป็นคนที่รู้ว่าจะมอบหมายหน้าที่ให้ผู้อื่นเมื่อใดและด้วยวิธีใด นอกจากนี้ ผู้นำยังจะต้องมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทั้งความสามารถในการชื่นชมและวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ทีมสามารถสร้างประโยชน์ได้สูงสุด

ส่วนทฤษฎีผู้นำทีมแบบใหม่จะมองต่างออกไป รูปแบบนี้จะไม่มีผู้นำทีมเพียงคนเดียว แต่สมาชิกแต่ละคนในทีมจะเป็นผู้นำตามสถานการณ์และความรู้ในด้านที่ตนเองถนัด หมายความว่าจะไม่มีการกำหนดลำดับชั้นและความร่วมมือของสมาชิกแต่ละคนมีความสำคัญเท่าๆ กัน ซึ่งผลงานของทุกคนมีส่วนช่วยนำไปสู่ความสำเร็จของทีม

ไม่พลาดทุกการสื่อสาร

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย คุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

ผู้นำประเภทต่างๆ มีอะไรบ้าง

ผู้นำประเภทต่างๆ มีอะไรบ้าง

อ่านต่อเพื่อดูบทแนะนำรูปแบบการเป็นผู้นำที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด สถานการณ์ที่เหมาะสมของรูปแบบเหล่านั้น รวมถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละรูปแบบ

ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง

ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงจะคอยมองหาโอกาสเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและกระบวนการทำงานขององค์กรอยู่เสมอ ผู้นำประเภทนี้จะศึกษางานประจำวันอย่างเจาะลึกจนถึงรายละเอียดเล็กน้อยที่สุดเพื่อทำให้งานนั้นประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ข้อดี: ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงเหมาะกับธุรกิจที่เสียความได้เปรียบในการแข่งขันหรือบริษัทที่ต้องการเติบโต

  • ข้อเสีย: ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงบางคนอาจกดดันพนักงานมากเกินไปจากการมุ่งเน้นประสิทธิภาพ พนักงานอาจรู้สึกว่าทำงานหนักเกินไปหรือถูกละเลยเมื่อนำวิธีการทำงานใหม่ๆ มาใช้

ผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือ

ผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ผู้นำประเภทนี้จะมองเห็นคุณค่าในการแบ่งปันความรู้ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการทำงานแบบแยกส่วนภายในองค์กร การร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับต่างประเทศ หรือการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

  • ข้อดี: นักคิดที่ส่งเสริมความร่วมมือมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งในธุรกิจที่มีหลายแผนกหรือธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ธุรกิจที่ประสบปัญหาในการเข้าสู่ตลาดใหม่ก็สามารถได้รับประโยชน์จากการใช้แนวทางดังกล่าวเช่นกัน

  • ข้อเสีย: รูปแบบการส่งเสริมความร่วมมืออาจใช้งานได้ไม่ดีเมื่อองค์กรจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้

ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้เชื่อในการให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นลำดับแรก ผู้นำประเภทนี้จะเชื่อว่าการทำให้พนักงานรู้สึกเติมเต็มทั้งด้านชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงานจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกตามมาในไม่ช้า อีกทั้งธรรมชาติความเป็นห่วงเป็นใยยังทำให้พวกเขาเป็นนักสื่อสารที่มีความเชี่ยวชาญอีกด้วย

  • ข้อดี: ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้เหมาะสมอย่างที่สุดกับองค์กรไม่แสวงผลกำไรและองค์กรการกุศล แนวทางแบบเอาใจใส่ดูแลหมายความว่าพวกเขาทำงานได้ดีในธุรกิจที่สร้างความภาคภูมิใจในการพัฒนาพนักงานด้วยเช่นกัน

  • ข้อเสีย: ผู้นำที่รับใช้มากเกินความเหมาะสมอาจสูญเสียความสนใจในเป้าหมายของบริษัทและประสบปัญหาในการตัดสินใจยากๆ ได้ นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นในการทุ่มเทของพวกเขาอาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟได้เช่นกัน

ผู้นำที่มีความเป็นประชาธิปไตย

ผู้นำที่มีความเป็นประชาธิปไตยรับฟังความคิดเห็นภายในทีมทั้งหมดเมื่อดำเนินองค์กร ผู้นำประเภทนี้จะถามคำถามสำคัญกับพนักงานเพื่อช่วยในการทำความเข้าใจความต้องการของทุกคนก่อนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย

  • ข้อดี: แนวทางนี้ช่วยสร้างความกระตือรือร้นโดยการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามามีส่วนร่วม และยังช่วยจูงใจให้ผู้คนทำในสิ่งที่คุณต้องการจากพวกเขา

  • ข้อเสีย: องค์กรอาจพบว่าการตัดสินใจทำในสิ่งที่ผู้คนไม่เห็นด้วยแต่จำเป็นต้องทำนั้นเป็นเรื่องยากลำบากกว่าเดิม และการขบคิดวิธีแก้ไขปัญหาอาจเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ความล่าช้าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจบั่นทอนผลลัพธ์จากการเป็นผู้นำของผู้จัดการในระยะยาว

ผู้นำที่มีเสน่ห์

ผู้นำที่มีเสน่ห์ใช้ความกระตือรือร้นและทักษะทางสังคมของตนในการสร้างความต้องการบรรลุเป้าหมายร่วมกันกับพนักงาน ลักษณะที่ดึงดูดใจเหล่านี้ประสานช่องว่างระหว่างผู้จัดการและพนักงานระดับล่างด้วยการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นและความมุ่งมั่นในการดำเนินบทบาทของตนโดยรักษาทัศนคติเชิงบวกไปพร้อมกัน

  • ข้อดี: ผู้นำเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบริษัทที่ต้องการสร้างชื่อเสียงที่ได้รับความเสียหายขึ้นมาใหม่ โดยความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้นของพวกเขาจะช่วยเพิ่มความซื่อสัตย์จริงใจของธุรกิจและจูงใจผู้อื่น

  • ข้อเสีย: ในบางครั้งผู้นำประเภทนี้อาจประสบปัญหาในการตัดสินใจที่ยากลำบากแต่จำเป็นต้องทำเช่นเดียวกับผู้นำที่เป็นผู้รับใช้

ผู้นำตามสถานการณ์

ผู้นำตามสถานการณ์เป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีที่สุดในผู้นำทั้งหมด ผู้นำประเภทนี้เป็นได้ทั้งผู้มีอำนาจสั่งการ นักบุกเบิก และผู้นำที่มีเสน่ห์ในเวลาที่ต้องการ แทนการใช้รูปแบบการเป็นผู้นำเพียงรูปแบบเดียว พวกเขาสามารถบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบปัญหาได้ดีพอๆ กับการขยายองค์กรให้เติบโต

  • ข้อดี: จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของผู้นำที่มีความสามารถรอบตัวคือความสามารถในการประเมินสถานการณ์และดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้นำตามสถานการณ์ทำให้รู้ว่าควรปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อใด ส่งผลให้พวกเขาเป็นผู้นำในอุดมคติสำหรับทุกๆ ธุรกิจ และมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย...

เคล็ดลับ 5 ข้อในการเป็นผู้นำที่ดียิ่งกว่าเดิม

เคล็ดลับ 5 ข้อในการเป็นผู้นำที่ดียิ่งกว่าเดิม

ความเป็นผู้นำไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเสมอ แม้กระทั่งผู้นำที่มีความสามารถที่สุดก็ต้องคอยเฝ้าติดตามประสิทธิภาพการทำงานของตัวเองตลอดเพื่อให้ทำงานได้อย่างไร้ที่ติ นี่เป็นเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะของตนเอง

  1. ค้นหาจุดอ่อนของตนเอง

    เริ่มต้นโดยการสังเกตรูปแบบการเป็นผู้นำของตนเอง ถามตัวเองว่า ‘ฉันปล่อยให้สมาชิกในทีมตัดสินใจด้วยตนเองหรือไม่ ฉันตอบสนองต่อความล้มเหลวของบริษัทอย่างไร’ เมื่อรับรู้ถึงจุดอ่อนของตัวเองแล้ว คุณก็สามารถเริ่มต้นค้นหาวิธีทำให้ดีขึ้นได้

    หากคุณขอความเห็นจากพนักงานของคุณ คุณก็อาจช่วยสร้างวัฒนธรรมของบริษัทที่จริงใจและเปิดกว้างได้ การตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของตัวเองบ่อยครั้งจะป้องกันไม่ให้คุณเผลอทำพฤติกรรมเดิมๆ

  2. กำหนดเป้าหมาย

    การกำหนดเป้าหมายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ตัวเองมุ่งมั่นกับงาน คุณจะต้องคิดทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้คุณสามารถรักษาสภาพคล่องของการทำงานเอาไว้ได้ และคุณควรครอบคลุมเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายของทั้งบริษัทไปพร้อมกัน

    นอกจากนี้ คุณจะต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับการคิดทบทวนด้วย การปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือการเป็นตัวอย่างที่ดีและเพิ่มความทะเยอทะยานหากงานไปได้สวยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด

  3. ปรับปรุงทักษะการสื่อสารของคุณ

    การที่คุณเข้าใจทีมและทีมก็เข้าใจคุณถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยสิ่งนี้เริ่มจากการที่ผู้นำให้ความสนใจต่อมุมมองของพนักงานของตนอย่างแท้จริง คุณจะต้องรับฟังอย่างตั้งใจและทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เพื่อสร้างความเชื่อใจที่จะส่งผลดีต่อการสนทนาในอนาคต

    สมาชิกในทีมต้องรู้สึกว่าสามารถเข้าถึงผู้นำของตัวเองได้ ทำให้สมาชิกเห็นคุณบ่อยๆ ด้วยการสนับสนุนให้ทีมติดต่อกับคุณตามที่พวกเขาสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการแชท การโทรศัพท์ หรือวิดีโอคอล

  4. เรียนรู้จากความล้มเหลวของคุณ

    ผู้นำที่แข็งแกร่งจะยอมรับสาเหตุของความผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ซึ่งอาจรวมถึงการขอความเห็นภายในบริษัทหรือทบทวนการตัดสินใจของตัวเองเพื่อดูว่าคุณจะสามารถทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปได้อย่างไร

    ความผิดพลาดสามารถสร้างตัวตนได้ เรียนรู้จากความผิดพลาดและใช้บทเรียนเหล่านั้นในการสร้างความมั่นใจให้กับการตัดสินใจในครั้งต่อไป ผู้นำที่แบ่งปันข้อบกพร่องของตนให้ทีมรับฟังมักจะได้รับความเคารพมากกว่าผู้นำที่พยายามปกปิดข้อผิดพลาดของตัวเอง

  5. ทำงานร่วมกับทีมของคุณ

    การเป็นผู้นำที่ดีไม่ได้หมายถึงการทำงานเพียงลำพัง ผู้จัดการที่ดีที่สุดจะขอให้ทีมมีส่วนร่วมเมื่อต้องเผชิญกับงานที่ยากที่สุด คุณจะได้เหล่าพนักงานผู้กระตือรือร้นและทุ่มเทให้กับธุรกิจเป็นผลตอบแทนจากการสร้างความไว้วางใจในตัวเพื่อนร่วมงานของคุณ

อ่านต่อ

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

โพสต์ล่าสุด

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 11 นาที

วัฒนธรรมในที่ทำงาน: นิยามและวิธีสร้างผลลัพธ์เชิงบวกในองค์กรของคุณ

เมื่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้วัฒนธรรมในที่ทำงานแบบเชิงบวกกลายเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนสำหรับธุรกิจไม่ว่าที่ใดก็ตาม นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้

เรื่องราวความสำเร็จ

เรียนรู้วิธีสร้างทีมงานแบบผสมผสานที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูง

การทำงานแบบผสมผสานที่นิยมกันมากขึ้นได้เปลี่ยนกฎของการมีส่วนร่วมไปโดยสิ้นเชิง ใช้แหล่งข้อมูลบน Workplace from Meta เหล่านี้เพื่อเปลี่ยนวิธีที่คุณใช้เชื่อมต่อและสื่อสารกับพนักงาน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนและทำอะไรก็ตาม

การสื่อสารทางธุรกิจ | ใช้เวลาอ่าน 9 นาที

อธิบายการสื่อสารทางธุรกิจ

ธุรกิจของคุณขึ้นอยู่กับการแชร์ข้อมูลอย่างประสบความสำเร็จ และขึ้นอยู่กับพนักงานของคุณด้วย ถึงกระนั้น 66% ของบริษัทก็ยังคงขาดแผนระยะยาวสำหรับการสื่อสารทางธุรกิจอยู่ดี แล้วทำไมสิ่งนี้จึงถือเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง อะไรคืออุปสรรคสำหรับการสื่อสารที่พบอยู่บ่อยครั้ง และคุณจะหลีกเลี่ยงอุปสรรคนั้นได้อย่างไร