วิธีทำให้สุขภาพจิตกลายเป็นประเด็นสำคัญในที่ทำงานอยู่เสมอ

การเปิดกว้างเรื่องสุขภาพจิตในที่ทำงานกันมากขึ้นนับได้ว่าเป็นพัฒนาการที่น่ายินดีอย่างมาก แม้ว่าสังคมจะมีความตระหนักรู้ในประเด็นนี้มากขึ้น ทว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิตในที่ทำงานกลับยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คำถามคือ องค์กรต่างๆ จะสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่แฝงอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร เรามาสำรวจประเด็นเหล่านี้ไปด้วยกัน

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 5 นาที
Mental Health in the workplace

สุขภาพจิตในที่ทำงานกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมของบริษัทมากขึ้นไปอีกในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด

การศึกษาจาก Mind Share Partners พบว่า 78% ของพนักงานที่เป็นคนยุคมิลเลนเนียลและ 81% ของพนักงานที่เป็นคน Gen Z ลาออกจากงานเนื่องด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของตนเอง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ (91%) เชื่อว่า นายจ้างมีหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพจิตของพนักงานของตน

ขณะเดียวกัน การศึกษาของ McKinsey เองก็ได้เผยให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า การตัดขาดจากกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในประเด็นสุขภาพจิต ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาดังกล่าวพบว่า แม้ 71% ของนายจ้างของบุคลากรหน้างานจะกล่าวว่า ตนส่งเสริมสุขภาพจิตของสมาชิกในทีมอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีบุคลากรหน้างานเพียงแค่ 27% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้

เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร

ดาวน์โหลดเคล็ดลับมืออาชีพทั้ง 6 ข้อเพื่อค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการมีส่วนร่วมของพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร

เหตุใดสุขภาพจิตในที่ทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เหตุใดสุขภาพจิตในที่ทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การดูแลสุขภาพจิตของพนักงานถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างวัฒนธรรมในที่ทำงานในเชิงบวก อย่างไรก็ดี สิ่งนี้กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ด้านการเงินด้วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลต่อทั้งผลิตภาพ การขาดงานเนื่องจากความเจ็บป่วย และการลาออก ข้อมูลจาก Deloitte ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา นายจ้างในสหราชอาณาจักรมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่ย่ำแย่เพิ่มขึ้น 25% โดยพุ่งทะยานถึง 56 พันล้านปอนด์ในปี 2020-2021

สาเหตุหนึ่งของประเด็นนี้อาจมาจากภาวะหมดไฟที่พนักงานบางส่วนต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โควิดแพร่ระบาดอย่างหนัก การเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่แม้จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากพนักงานส่วนใหญ่ก็อาจมีส่วนด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะมีต้นตอมาจากปัญหาใด ผู้นำธุรกิจและนายจ้างก็จำเป็นต้องใส่ใจในประเด็นสุขภาพจิตให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก ข่าวดีก็คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ช่วยให้คุณได้รับสิ่งตอบแทนตามมา โดยรายงานของ Deloitte อีกฉบับหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่ 1 ใน 6 ของพนักงานประสบกับปัญหาสุขภาพจิตในบางช่วงของการทำงาน นายจ้างที่ลงทุนให้ความช่วยเหลือและทำความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตสามารถได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนการลงทุนที่ประมาณ 500% ด้วยกัน

สุขภาพจิตและการทำงานจากที่บ้าน

สุขภาพจิตและการทำงานจากที่บ้าน

หลายธุรกิจเริ่มทบทวนเกี่ยวกับวิธีการและสถานที่ที่พนักงานของตนทำงานกันตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดโควิด-19 เสียด้วยซ้ำ ทว่าเป็นมาตรการต่างๆ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิดที่เร่งกระบวนการนี้ให้เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมมาก จนทำให้บ้านกลายเป็นที่ทำงานของผู้คนนับล้าน และแม้ว่าการทำงานจากทางไกลจะนำมาซึ่งความยืดหยุ่น ตัวเลือกที่หลากหลายขึ้น นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวไกลกว่าเดิม แต่ผู้คนบางส่วนกลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประสบการณ์ในเชิงบวกไปเสียทั้งหมด

โพลล์จาก Royal Society for Public Health (RSPH) สรุปว่า แม้คนส่วนใหญ่จะไม่อยากกลับไปทำงานที่ออฟฟิศเป็นหลักตลอดเวลา แต่ 74% ของผู้ตอบโพลล์นั้นก็ระบุด้วยว่า ตนต้องการแบ่งเวลาทำงานระหว่างที่ออฟฟิศกับที่บ้านมากกว่าที่จะต้องทำงานจากทางไกลอย่างเต็มรูปแบบต่อไปเรื่อยๆ

ถึงแม้การทำงานจากทางไกลจะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อพนักงานหลายๆ คน แต่สิ่งนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำต้องตระหนักรู้และดำเนินการรับมือ

  • การขาดการเชื่อมต่อกัน

    แบบสำรวจจาก RSPH เผยว่า 67% ของพนักงานรู้สึกตัดขาดจากเพื่อนร่วมงานมากขึ้นเมื่อต้องทำงานจากที่บ้าน

  • ความลำบาก

    พนักงานรายงานว่าตนนั่งอยู่กับที่มากขึ้น (46%) มีปัญหาในการจัดท่าทางของร่างกายและปวดหลัง (39%) และประสบปัญหาที่รบกวนต่อการนอนหลับ (46%) ที่น่าเป็นกังวลก็คือ 1 ใน 4 ของคนที่ทำงานจากที่บ้านกล่าวว่า พวกเขาทำงานบนโซฟาหรือบนเตียง

  • ความไม่ชัดเจน

    ปัจจุบัน เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พนักงานที่ทำงานจากทางไกลและทำงานแบบไฮบริดมีโอกาสที่จะไม่สามารถสลัดงานออกจากหัวได้เมื่อหมดเวลาทำงาน แทนที่ความยืดหยุ่นในแง่ชั่วโมงการทำงานจะช่วยให้คนเหล่านี้มีสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้กลับทำให้บางคนรู้สึกว่าตนต้องพร้อมทำงานตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะหมดไฟได้

ปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงานที่พบได้บ่อยๆ

ปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงานที่พบได้บ่อยๆ

ความวิตกกังวล ความเครียด และความซึมเศร้า สิ่งเหล่านี้คือประเภทของปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงานที่พบได้บ่อยที่สุด ทั้งยังเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากขึ้น โดยมาพร้อมกับแรงกดดันว่าจะต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพเหมือนช่วงก่อนเกิดโควิด ความยากลำบากในการจัดการสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิต การสูญเสียความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ตลอดจนความกังวลเรื่องค่าครองชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อสุขภาพจิตจนนำมาซึ่งสิ่งต่อไปนี้ได้

  • การสูญเสียผลิตภาพส่วนตัว

  • ความลังเลที่จะก้าวหน้า หรือความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่ช้าลง

  • การหมดกำลังใจและความรู้สึกโดดเดี่ยว

  • ความฉุนเฉียว

  • การขาดสมาธิ

สำหรับทีมและธุรกิจในภาพรวม ปัญหาสุขภาพจิตอาจส่งผลดังต่อไปนี้ได้

  • ความตึงเครียดระหว่างเพื่อนร่วมงานที่มากขึ้น

  • การขาดการส่งเสริมด้านวัฒนธรรมและเป้าหมายของบริษัท

  • ความไม่ยืดหยุ่น

  • การกลั่นแกล้งและการคุกคามทางจิตใจ

  • การค่อยๆ สูญเสียความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และผลิตภาพในภาพรวม

หากผู้นำไม่ใส่ใจประเด็นสุขภาพจิตมากพอ ปัญหาเหล่านี้ก็อาจแย่ไปกว่าเดิมได้ พนักงานที่กลัวการถูกตัดสินหรือเลือกปฏิบัติอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะพูดความรู้สึกของตนออกมาอย่างเปิดเผย ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือและอาจลุกลามไปยังปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและความซึมเศร้า เช่น โรคหัวใจและโรคเบาหวานได้อีกด้วย โดยข้อมูลในภาพรวมจาก Forbes ระบุว่า 62% ของจำนวนวันที่ขาดงานทั้งหมดต่อปีนั้นมีต้นสายปลายเหตุมาจากสภาวะทางสุขภาพจิต

แม้ว่าปัญหาด้านสุขภาพจิตในที่ทำงานจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ข้อมูลจากแบบสำรวจของ RSPH กลับพบว่ามีเพียง 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจเท่านั้นที่ได้รับการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตจากนายจ้างของตนเอง

องค์กรต่างๆ จะรับมือกับประเด็นสุขภาพจิตในที่ทำงานได้อย่างไร

องค์กรต่างๆ จะรับมือกับประเด็นสุขภาพจิตในที่ทำงานได้อย่างไร

ผู้นำธุรกิจสามารถดำเนินการในเชิงบวกที่จะช่วยให้เกิดผลตอบแทนการลงทุนอย่างมหาศาลได้หลากหลายวิธีในระหว่างตนเริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นสุขภาพจิตของพนักงาน ทั้งนี้ ผู้จัดการและนายจ้างจำเป็นต้องทำสิ่งต่อไปนี้

สร้างวัฒนธรรมการให้ความช่วยเหลือ

การพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างวัฒนธรรมที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผู้นำควรสร้างความมั่นใจว่าทุกคนในองค์กรมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมเรื่องสุขภาพจิตในที่ทำงาน โดยอาจเป็นได้ตั้งแต่การทำให้การพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป การลดตราบาปเกี่ยวกับภาวะเจ็บป่วยทางจิต และการเผยแพร่ประเด็นเหล่านี้ให้เป็นที่ทราบกันให้เร็วที่สุด การให้พนักงานได้มีส่วนในการตัดสินใจ รวมไปถึงการเปิดกว้างและโปร่งใส จะช่วยให้ผู้คนรู้สึกมีส่วนร่วม มีอำนาจ ตลอดจนมีสมาธิและรู้สึกผ่อนคลายในเรื่องงานของตนเองมากยิ่งขึ้น

สร้างความตระหนักรู้ถึงสัญญาณต่างๆ

สร้างความมั่นใจว่าพนักงานทุกคนรู้ว่าอะไรเป็นสัญญาณของความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะหมดไฟ และนำเคล็ดลับไปใช้เพื่อช่วยให้เพื่อนร่วมงานได้ตระหนักและจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ นอกจากนี้ อย่าลืมให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิตที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก อาทิ โรคจิตเภทและโรคอารมณ์สองขั้ว

ทำเป็นตัวอย่าง

แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าคุณเองก็กำลังรักษาสุขภาพจิตของตนเองด้วยเช่นกันด้วยการกำหนดขอบเขตระหว่างงานกับที่บ้าน การมีสติรับรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด การพักผ่อนในวันหยุดยาว และการใช้ชีวิตที่ดีทั้งกายและใจ

ส่งเสริมสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิตที่ดี

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคน รวมถึงพนักงานที่ทำงานจากทางไกล เข้าใจวิธีแบ่งเวลาระหว่างเวลาทำงานกับเวลาส่วนตัว ลองนำแนวคิดชั่วโมง 'ไร้การประชุม' มาใช้ รวมถึงกำหนดเวลาให้พนักงานไม่ต้องทำงานผ่านระบบออนไลน์ในระหว่างวันทำงาน

จัดการประชุมที่เล็กลงให้บ่อยขึ้น

การจัดประชุมที่มีขนาดเล็กลงและใช้เวลาสั้นลงให้ถี่ขึ้นจะช่วยให้พนักงานมีส่วนร่วมบ่อยขึ้น ทั้งยังรู้สึกการมีส่วนร่วมของตนนั้นมีความสำคัญ ลองเพิ่มการพูดคุยสอบถามแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้จัดการกับพนักงานให้เยอะๆ และสร้างการมีปฏิสัมพันธ์กันในช่วงเวลาทำงานทั้งในโลกความเป็นจริงและโลกออนไลน์ ตลอดจนนึกถึงช่วงพักดื่มกาแฟ ชั่วโมงแห่งความสุข และงานพบปะสังสรรค์กันตอนเย็นเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ทางความรู้สึกในเชิงบวก

ประเมินสุขภาพจิต

แบบสำรวจแบบไม่ระบุตัวตนและการพูดคุยกับผู้อื่นเป็นประจำช่วยในการเฝ้าสังเกตพนักงานแต่ละคนและสุขภาพจิตโดยรวมของธุรกิจได้

กำชับให้ทุกคนหยุดงานในช่วงหยุดยาว

เราทุกคนต้องมีเวลาพัก ผู้จัดการและนายจ้างควรส่งเสริมให้พนักงานใช้สิทธิ์วันหยุดของตนจนครบ ตลอดจนมีการสนับสนุนในการวางแผนวันหยุดเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ทำงานหนักเกินไปในขณะที่พนักงานลาหยุด

เสนอการฝึกอบรมและการส่งเสริมความก้าวหน้า

โอกาสด้านการสัมมนา การฝึกอบรม การให้คำปรึกษา และการเพิ่มพูนทักษะ จะตอกย้ำความมั่นใจของพนักงานว่า เส้นทางอาชีพของตนยังคงเป็นไปตามที่วางไว้ ทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจที่องค์กรมีต่อสมาชิกแต่ละคนในทีมอีกด้วย

นำประเด็นสุขภาพจิตมาบรรจุไว้ในกรมธรรม์และนโยบายสวัสดิภาพของบริษัท

ประเด็นสุขภาพจิตควรมีการระบุไว้อย่างชัดเจนในนโยบาย กรมธรรม์ และแพ็คเกจสวัสดิการต่างๆ ของบริษัท ซึ่งบริษัทต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีการให้คำปรึกษาและการบำบัดรักษาที่เหมาะสม โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจสวัสดิการที่ครอบคลุมสำหรับสมาชิกในทีม

แสดงความชื่นชมและความรู้สึกขอบคุณ

การให้การยอมรับจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับสุขภาพจิต นอกจากนี้ การตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของพนักงานแต่ละคน การให้รางวัลแก่ความสำเร็จ และการแสดงความรู้สึกขอบคุณ ยังส่งผลให้พนักงานมีความภูมิใจในตนเองมากขึ้น และสร้างความรู้สึกที่เชื่อมต่อถึงกันระหว่างผู้จัดการ เพื่อนร่วมงาน และธุรกิจในภาพรวมอีกด้วย

สนับสนุนพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ

การสนับสนุน (กระทั่งการมีส่วนช่วยเหลือทางการเงิน) ให้พนักงานทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีเวลาได้ออกกำลังกายในแต่ละวัน และได้รับการอุดหนุนค่าสมาชิกโรงยิม เซสชั่นการฝึกสติ ฯลฯ จะช่วยเสริมสร้างวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้นให้กับเหล่าพนักงาน ไม่เพียงแค่นั้น องค์กรยังสามารถเปิดตัว 'วันสุขภาพจิต' เพื่อส่งเสริมให้พนักงานได้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ทำสมาธิ และหางานอดิเรกที่สร้างสรรค์ทำได้อีกด้วย

เทคโนโลยีสามารถส่งเสริมสุขภาพจิตในที่ทำงานได้อย่างไร

เทคโนโลยีสามารถส่งเสริมสุขภาพจิตในที่ทำงานได้อย่างไร

แอพสุขภาพจิต

แอพสุขภาพจิตสามารถให้เคล็ดลับและคำแนะนำต่างๆ ไปจนถึงประเมินและเฝ้าสังเกตสัญญาณสุขภาพจิตในแง่ลบได้ นอกจากนี้ แอพเหล่านี้ยังสามารถช่วยพนักงานในทางอ้อมด้วยการให้ความรู้และเพิ่มพูนทักษะ และการช่วยจัดการเวลาได้อีกด้วย

การมอบสิทธิ์การเข้าถึงเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้พนักงานเห็นถึงการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนในทีมอย่างรอบด้าน และส่งเสริมให้พวกเขาจัดการสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิต ตลอดจนลดความเครียดและความวิตกกังวล

เมตาเวิร์ส

หลายคนเริ่มตระหนักถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ของเมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นการเข้าสู่โลกเสมือนจริงโดยใช้แว่นที่มีเทคโนโลยี Virtual Reality และ Augmented Reality พร้อมเพลิดเพลินไปกับการเล่นเกม และสัมผัสความอัศจรรย์ของการท่องเที่ยวแบบเสมือนจริงกันบ้างแล้ว ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยในอนาคต เมตาเวิร์สจะสร้างออฟฟิศเสมือนจริงที่สามารถดื่มด่ำประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าได้อยู่ในห้องเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลจากกันก็ตาม

เมตาเวิร์สจะช่วยสร้างสายสัมพันธ์และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมถึงมอบศักยภาพอันน่าทึ่งในการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะ ไปจนถึงเพิ่มความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากในการมีสุขภาพจิตที่ดี

อ่านต่อ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร

ดาวน์โหลดเลย

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร

ดาวน์โหลดเลย

โพสต์ล่าสุด

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 11 นาที

วัฒนธรรมในที่ทำงาน: วิธีสร้างวัฒนธรรมเชิงบวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

วัฒนธรรมในที่ทำงานมีความสำคัญยิ่งขึ้นในโลกของการทำงานแบบผสมผสานและการทำงานทางไกล ร่วมหาคำตอบว่าวัฒนธรรมในที่ทำงานคืออะไรและคุณจะสามารถปรับปรุงวัฒนธรรมนี้ได้อย่างไร

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 8 นาที

ค่านิยมขององค์กรคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญ

ค่านิยมขององค์กรสามารถชี้นำทิศทางแก่พนักงานและให้เหตุผลที่จะเชื่อมั่นแก่ลูกค้า เรามาดูวิธีพัฒนาและสื่อสารค่านิยมขององค์กรกัน

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 8 นาที

วัฒนธรรมองค์กร 4 ประเภท: แบบใดดีที่สุดสำหรับธุรกิจ

ตัวตนของธุรกิจเป็นการผสมผสานที่ไม่เหมือนใครของวัฒนธรรมต่างๆ ขององค์กร ดูว่าคุณจะค้นหาตัวตนของธุรกิจและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตัวตนนั้นได้อย่างไร