หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานจากทางไกล: กุญแจสู่ความสำเร็จ
การทำงานจากทางไกลและการทำงานแบบไฮบริดกำลังกลายเป็นขั้นตอนมาตรฐานที่หลายๆ องค์กรใช้กัน และเป็นที่นิยมในหมู่พนักงาน แต่ผู้นำ ผู้จัดการ และพนักงานจะใช้การทำงานในรูปแบบดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร เราจะมาค้นหาคำตอบกัน


การทำงานจากทางไกลและการทำงานแบบไฮบริดมีแนวโน้มที่จะคงอยู่ไปอีกนาน และในขณะที่บางคนกลับมาทำงานที่สำนักงานแบบเต็มเวลาหรือสองสามวันต่อสัปดาห์ ความรู้สึกโดยทั่วไปคือวิธีการทำงานในช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่นั้นได้หายไปหมดสิ้น อย่างน้อยๆ ก็สำหรับคนที่เคยทำงานในสำนักงานมาก่อน
38% ของนายจ้างทั่วโลกคาดหวังให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลทำงานนอกสำนักงานอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์หลังการระบาดใหญ่ทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นถึง 22% จากการสำรวจในครั้งก่อน
เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากขึ้นเริ่มใช้การทำงานจากทางไกล ผู้จัดการและหัวหน้าทีมจึงอาจต้องทบทวนวิธีที่ดีที่สุดในการทำสิ่งต่างๆ อีกครั้ง
วิธีช่วยให้บุคลากรหน้างานทำงานได้ดียิ่งขึ้น
บุคลากรหน้างานสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม แต่คุณจำเป็นจะต้องเชื่อมต่อและให้การสนับสนุนพวกเขา ดาวน์โหลดเช็คลิสต์เพื่อศึกษาวิธีการดังกล่าวกันได้เลย









หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานจากทางไกลคืออะไร
หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานจากทางไกลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากทีมที่สมาชิกทำงานอยู่คนละที่ โดยควรเน้นที่ 4 ประเด็นสำคัญต่อไปนี้
ผลิตผล
สุขภาวะ
ประสิทธิภาพการทำงาน
ความเชื่อมโยง
การสร้างหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานจากทางไกลเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการดำเนินงานในองค์กรอย่างราบรื่น แต่หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบเสมอไป คุณอาจตระหนักดีว่าในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา วิธีที่ดีที่สุดในการทำสิ่งต่างๆ คือ ยิ่งมีการลองผิดลองถูกมากเท่าไร ก็ยิ่งช่วยให้การวางแผนออกมาสมบูรณ์แบบมากเท่านั้น และเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ข้อมูลเชิงลึกที่สดใหม่ หรือการรับรู้ที่ดีขึ้น ก็จะช่วยให้กระบวนการต่างๆ สามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานจากทางไกลสามารถเอาชนะความท้าทายที่สำคัญของพนักงานได้
เมื่อนึงถึงการกำหนดเวลาประชุมทางไกลแบบข้ามเขตเวลา ไปจนถึงการสร้างขวัญกำลังใจ การจัดการจากทางไกลนับว่าเป็นเรื่องท้าทายมากทีเดียว ทีมที่ทำงานจากทางไกลอาจต้องพยายามรักษาประสิทธิภาพในการทำงานและการมีส่วนร่วมอยู่เสมอ รวมถึงผู้จัดการก็จะต้องคิดหาวิธีใหม่ๆ ในการรักษาขวัญกำลังใจด้วยเช่นกัน
ทว่าสิ่งต่างๆ กำลังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนที่ทำงานจากทางไกลได้เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ทั่วโลก ตามรายงานสถานะการทำงานปี 2021 ของ Buffer1 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาลำดับต้นๆ คือทำงานร่วมกันและการสื่อสาร แต่ในปีนี้ ปัญหาเหล่านั้นแตกต่างไปจากเดิม ดังนี้
ไม่สามารถหยุดทำงานได้เมื่อแม้จะหมดเวลาทำงานไปแล้ว เหตุผลนี้ได้รับคะแนนในโพลล์สูงสุด โดย 27% ของพนักงานมองว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของพวกเขาในการทำงานจากทางไกล
การทำงานร่วมกันและการสื่อสารยังคงเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ร่วมทำแบบสำรวจ 16% การทำงานจากทางไกลทำให้การอ่านภาษากายและการถามคำถามสั้นๆ กับเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะทำงานเป็นเรื่องยากขึ้น
ความเหงาและความโดดเดี่ยวยังเป็นอุปสรรคสำหรับคนที่ทำงานจากทางไกลจำนวน 16% เช่นกัน การนั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่คุยกับใครเลยในแต่ละวันอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและทำให้ผู้คนสูญเสียความเป็นส่วนหนึ่งของทีมไป
ความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการฝึกอบรม คุณจะฝึกอบรมพนักงานใหม่หรือพนักงานที่มีประสบการณ์น้อยกว่าได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครอยู่ข้างๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำ คุณจะต้องหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ รายงานของ PwC พบว่า 34% ของพนักงานที่ไม่มีประสบการณ์มีแนวโน้มที่จะทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยลงระหว่างที่ทำงานจากทางไกล ในขณะที่พนักงานที่มีประสบการณ์มากกว่ามีคนที่รู้สึกเช่นนั้นเพียง 23%

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ
รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน
เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว
เหตุใดหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดจึงสำคัญสำหรับการทำงานจากทางไกล
การระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้หลายองค์กรเชื่อมั่นว่าการทำงานจากทางไกลมีข้อได้เปรียบในการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างข้อดีบางส่วนของการนำหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดไปใช้กับคนที่ทำงานจากทางไกล
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
คนที่ทำงานจากทางไกลมีแนวโน้มที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากมีตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า ไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิ (และไม่ต้องเดินทาง) สามารถจัดระเบียบงานตามเงื่อนไขของตัวเองได้ และมีแรงจูงใจที่จะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น แบบสำรวจของ Gartner แสดงให้เห็นว่า 36% ของพนักงานที่ใช้เวลาทำงานจากที่บ้านมากขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 รายงานว่าตนมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น
อัตราการคงอยู่ของพนักงานและความภักดี
ความสุขของพนักงานเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พนักงานตัดสินใจหางานใหม่ ทางเลือกในการทำงานจากที่บ้านช่วยเพิ่มความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน รวมถึงทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะทำงานอยู่กับนายจ้างปัจจุบันมากขึ้นด้วย McKinsey กล่าวว่า 30% ของพนักงานจะพิจารณาเปลี่ยนนายจ้างหากองค์กรกลับมาทำงานในสำนักงานแบบเต็มเวลาหลังการระบาดใหญ่ทั่วโลก
การพัฒนาตนเอง
การทำงานทางไกลช่วยให้พนักงานมีเวลาให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเองและการพัฒนาด้านหน้าที่การงานมากขึ้น พนักงานอาจลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรออนไลน์ ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ฟรี หรืออ่านอีบุ๊กเพื่อเพิ่มทักษะ การพัฒนาตนเองช่วยสร้างความนับถือตนเอง ความมั่นใจ และแรงจูงใจ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวบุคคลเองและดีสำหรับธุรกิจของคุณด้วย
พนักงานมีความเป็นอิสระมากขึ้น
การให้อิสระในการตัดสินใจแก่พนักงานจะช่วยให้พนักงานควบคุมงานของตนเองได้ เมื่อคุณมอบความรับผิดชอบและความไว้วางใจให้แก่พนักงานมากขึ้น คุณจะพบว่าพวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การวิจัยแสดงให้เห็นว่าองค์กรที่มีระดับความไว้วางใจสูงจะช่วยเพิ่มค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมของพนักงานขึ้นถึง 76% เมื่อเทียบกับองค์กรที่มีระดับความไว้วางใจต่ำ

หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานจากทางไกล คุณปฏิบัติตามหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดข้อไหนบ้าง
หลักปฏิบัติที่ดีที่สุด 6 ข้อเพื่อการทำงานจากทางไกลที่ประสบความสำเร็จ
พนักงานที่ทำงานทางออนไลน์สามารถเอาชนะความท้าทายของการทำงานจากคนละที่ได้ ปฏิบัติตามเคล็ดลับสำคัญ 6 ข้อต่อไปนี้เพื่อการทำงานจากทางไกลที่ประสบความสำเร็จ
แบ่งขอบเขตระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
การทำงานจากที่บ้านอาจทำให้เส้นแบ่งระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวของคุณไม่ชัดเจน โลกทั้งสองใบจึงจำเป็นต้องถูกแบ่งออกจากกันและคุณต้องเลิกทำงานหลังจากหมดเวลางาน มิฉะนั้น คุณอาจเสี่ยงต่อการหมดไฟได้ ตามหลักการแล้ว ให้สร้างพื้นที่ทำงานที่คุณสามารถเลิกงานได้เมื่อทำงานเสร็จแล้วในวันนั้น คุณจะได้เอาตัวเองออกห่างจากแล็ปท็อปและอุปกรณ์สำหรับการทำงานอื่นๆ
ดูคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานที่บ้านกับชีวิตส่วนตัว
ติดตามการใช้เวลาของคุณ
กฎเหล็กข้อหนึ่งของการทำงานจากทางไกลคือการจัดการเวลาของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ คนที่ทำงานจากที่บ้านมักจะใช้เวลาทำงานนานขึ้นและมีเวลาพักน้อยลง
ลองประมาณเวลาดูว่าแต่ละงานจะใช้เวลานานเท่าใดและตั้งเป้าหมายที่คุณจะทำได้จริง คุณอาจจะใช้แอพจับเวลาหรือการเตือนเพื่อช่วยให้คุณใช้เวลาตามที่วางไว้ได้
พร้อมทำงานอยู่เสมอเมื่อคุณอยู่ในโหมดทำงาน
การทำงานจากที่บ้านจะต่างจากการทำงานในสำนักงานทั่วไปตรงที่ไม่มีใครคอยเฝ้ามองคุณอยู่ และเพื่อนร่วมงานก็ไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เปิดให้ทุกคนสามารถติดต่อคุณได้เสมอด้วยการตอบกลับข้อความและความคิดเห็นอย่างรวดเร็ว และสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานของคุณเป็นประจำ
มีความรับผิดชอบ
เมื่อคนที่ทำงานจากทางไกลรู้ว่าตนจะต้องรับผิดชอบงานของตัวเอง พนักงานก็จะโฟกัสที่การทำงานได้ดียิ่งขึ้น ไอเดียหนึ่งคือให้สมาชิกในทีมแต่ละคนแบ่งปันสิ่งที่ทำสำเร็จในสัปดาห์ก่อนและแผนสำหรับสัปดาห์หน้า วิธีนี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่และมีความรับผิดชอบอะไรบ้าง
เชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงาน
เมื่อพนักงานไม่ได้ใช้พื้นที่ทำงานในสถานที่จริงร่วมกัน พนักงานจะต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขารู้สึกเชื่อมต่อถึงกันและยังคงมีช่วงเวลาในการพูดคุยเรื่อยเปื่อย
การทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานมากกว่าแค่เรื่องงานจะช่วยให้คุณมีความผูกพันระหว่างกันที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เชื่อมต่อกับชุมชนทางโซเชียลและหาเวลาพักดื่มกาแฟด้วยกันทางออนไลน์ ซึ่งคุณสามารถทำกิจกรรมสนุกๆ ที่สร้างเสียงหัวเราะให้กันได้
ประเมินประสิทธิภาพของคุณ
ไม่มีใครคาดหวังให้คุณใช้พลังทำงานอย่างเต็มที่ตลอดเวลา แต่คุณก็ไม่ควรขาดงานโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นเวลาถึงครึ่งวันเมื่อคุณมีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ การเป็นคนที่ทำงานจากทางไกลที่มีความสุขและประสบความสำเร็จหมายถึงการค้นหาสิ่งที่ใช้ได้ผลดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง
ตัวอย่างเช่น คุณมีช่วงเวลาที่มีสมาธิจดจ่อมากเป็นพิเศษและสามารถจัดการกับงานที่ยากขึ้นหรือไม่ หรือมีเวลาพักช่วงอื่นๆ ที่ช่วยให้ไม่หมดแรงในตอนบ่ายหรือไม่ พยายามหาสิ่งที่เหมาะกับคุณและทำงานไปตามนั้น
หลักปฏิบัติที่ดีที่สุด 5 ข้อเพื่อการบริหารจัดการทีมจากทางไกล
ในฐานะผู้จัดการ คุณต้องสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการพร้อมให้ความช่วยเหลือพนักงานและการไม่จู้จี้กับพนักงานมากเกินไป ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการจากทางไกลเหล่านี้เพื่อทำให้พนักงานมีความสุขและมีประสิทธิภาพ
ทำความเข้าใจนโยบายการทำงานจากทางไกลขององค์กรของคุณ
นโยบายการทำงานจากทางไกลขององค์กรควรระบุเวลาและวิธีที่พนักงานสามารถทำงานจากสถานที่อื่นที่ไม่ใช่สำนักงานได้ รวมถึงควรให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานจากทางไกลในทุกๆ ด้าน
ซึ่งรวมถึงสิ่งต่างๆ อย่างการทำงานที่ยืดหยุ่น สิทธิ์ทางกฎหมาย และข้อกำหนดด้านการรักษาความปลอดภัย การรู้ว่าจะปรับตัวคุณให้เหมาะกับนโยบายอย่างไรจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจและช่วยให้คุณตอบคำถามจากทีมได้
การสื่อสาร
วิธีที่คุณสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการทีมจากทางไกลให้ประสบความสำเร็จ ให้ความช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ในตอนที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
การติดตามผลประจำวันอาจทำได้ง่ายเพียงแค่ถามว่าทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นสอบถามเกี่ยวกับงานที่ใกล้จะครบกำหนดเวลาหรือสิ่งที่ทุกคนกำลังทำในวันนั้น การใช้วิดีโอแชทในการสอบถามข่าวคราวประจำสัปดาห์เพื่อรักษาการเชื่อมต่อส่วนบุคคลเอาไว้ก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี
ใช้ซอฟต์แวร์ที่ดี
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานมีเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ใด เลือกซอฟต์แวร์ที่ทุกคนในทีมของคุณรู้สึกว่าใช้งานได้อย่างสะดวก รวมถึงช่วยให้ผู้คนสามารถแชร์แหล่งข้อมูล แสดงความคิดเห็น และทำงานในเอกสารร่วมกันได้ในที่เดียว
รายงาน Deloitte Global Human Capital Trends ในปี 2021 แสดงให้เห็นว่าผู้นำของธุรกิจมองว่าการเปิดตัวแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันทางดิจิทัลเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำให้การทำงานจากทางไกลมีความยั่งยืนสำหรับองค์กร
มอบโอกาสในการฝึกอบรม
คุณไม่ควรจะพึ่งพาซอฟต์แวร์ไปเสียทั้งหมด พนักงานของคุณก็สำคัญเช่นกัน พนักงานที่ทำงานจากทางไกลยังคงต้องการการฝึกอบรม เช่นเดียวกับช่วงที่ทำงานในสำนักงาน ดังนั้น อย่าปล่อยให้โอกาสในการพัฒนาหลุดลอยไปเพียงเพราะจำเป็นต้องฝึกอบรมทางออนไลน์
ลงทุนในแหล่งข้อมูลด้านการเรียนรู้ทางออนไลน์สำหรับพนักงานที่ทำงานจากทางไกลเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ เช่น ห้องสมุดดิจิทัล การเข้าถึงแพลตฟอร์มการเรียนรู้ทางออนไลน์ การสัมมนาออนไลน์ที่จัดขึ้นเป็นประจำ และเซสชั่นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเวลาอาหารกลางวัน
ชื่นชมความสำเร็จ
การทำงานจากทางไกลอาจทำให้ผู้คนรู้สึกถูกมองข้ามและไม่ได้รับการเห็นคุณค่า ดังนั้น การสร้างวัฒนธรรมการทำงานในเชิงบวกที่สมาชิกในทีมรู้สึกได้รับการชื่นชมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โปรแกรมการชมเชยที่มีประสิทธิภาพจะสร้างแรงบันดาลใจแก่พนักงานและทำให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแม้ว่าจะต้องทำงานคนเดียวก็ตาม
การชมเชยไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบตัวเงิน แต่อาจเป็นการได้รับการยอมรับจากสาธารณะ การให้โอกาสในการพัฒนา หรือการให้สิทธิพิเศษ เป็นต้น

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ
รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน
เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว