ทักษะการเป็นผู้นำทีมที่จำเป็นต่อองค์กรของคุณ

อะไรคือสิ่งที่จะนำไปสู่การเป็นผู้นำทีมที่ประสบความสำเร็จ ทฤษฎีอะไรอยู่เบื้องหลังรูปแบบการเป็นผู้นำยุคใหม่และคุณจะนำทฤษฎีดังกล่าวมาปฏิบัติจริงได้อย่างไร หาคำตอบได้ในโพสต์นี้

ความเป็นผู้นำ | ใช้เวลาอ่าน 11 นาที
team leadership skills - Workplace from Meta
การเป็นผู้นำทีมคืออะไร

การเป็นผู้นำทีมคืออะไร

หากพูดในภาพรวม การเป็นผู้นำทีมเกี่ยวข้องกับการจัดกลุ่มคนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมและสร้างความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนทุกอย่างที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายนั้น แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่คำนิยามแบบกว้างๆ เท่านั้น

เมื่อกว่า 2,500 ปีก่อน นายพลชาวจีนนามว่าซุนวู (Sun Tzu) ได้กล่าวถึงคุณธรรมของการเป็นผู้นำทีมที่ยิ่งใหญ่ไว้ในหนังสือตำราพิชัยยุทธ (The Art of War) ของเขา โดยได้นำเสนอแนวความคิดของการเป็นผู้นำอย่างการใช้เส้นทางที่มีแนวต้านน้อยที่สุดและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจ จนทำให้เหล่าผู้นำ นักวิชาการ และผู้มีอำนาจในแวดวงธุรกิจต่างหันมาสนใจ ตั้งคำถาม จำแนก รวมไปถึงได้รับแรงบันดาลใจจากประเด็นเหล่านี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีหนังสือเป็นพันๆ เล่มที่พูดถึงประเด็นดังกล่าว แต่ก็ไม่มีคำนิยามไหนที่อธิบายได้เลยว่าจริงๆ แล้วการเป็นผู้นำนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่

เรียนรู้วิธีเป็นผู้นำบริษัทที่เชื่อมต่อถึงกัน

ดาวน์โหลดอีบุ๊กของเราเพื่อเรียนรู้เหตุผลที่ซีอีโอรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมาย ความไว้วางใจ ความถูกต้อง และความซื่อสัตย์เหนือสิ่งอื่นใด

บทบาทการเป็นผู้นำทีมอาจดำเนินการได้ทั้งแบบทีมและแบบตัวบุคคล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโมเดลการเป็นผู้นำที่ยกขึ้นมาพิจารณา นอกจากนี้ บทบาทการเป็นผู้นำยังครอบคลุมถึงชุดทักษะต่างๆ ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ การฝึกอบรม การบริหารจัดการ การคิดเชิงกลยุทธ์ ความคิดสร้างสรรค์ ความยืดหยุ่น การวางแผนโปรเจ็กต์ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และอื่นๆ อีกมากมายด้วยเช่นกัน

5 โมเดลการเป็นผู้นำทีมยอดนิยม

5 โมเดลการเป็นผู้นำทีมยอดนิยม

ผู้คนต่างให้ความสนใจรูปแบบการเป็นผู้นำทีมที่ต่างกันออกไปในแต่ละช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยมักจะแบ่งรูปแบบการเป็นผู้นำให้เป็นภาพกว้างๆ ที่เน้นไปที่คุณลักษณะและจุดแข็งของผู้นำ รวมถึงรูปแบบการเป็นผู้นำที่เริ่มต้นจากข้อกำหนดต่างๆ ของคนในทีม ต่อไปนี้คือ 5 โมเดลการเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงสุด

1. ทฤษฎี XY ของ McGregor ซึ่งพัฒนาโดย Douglas McGregor ในช่วงทศวรรษ 1950

สิ่งที่ผู้นำเชื่อมั่นในทีมของตนจะเป็นตัวกำหนดว่าพวกเขาจะนำทีมด้วยวิธีการใด นี่เป็นข้อเสนอของ Douglas McGregor นักจิตวิทยาสังคมผู้เผยแพร่โมเดลการเป็นผู้นำทีมของเขาในช่วงทศวรรษ 1950

ทฤษฎี X แสดงถึงรูปแบบการเป็นผู้นำที่มีการดำเนินการและการใช้อำนาจที่ค่อนไปในแบบฉบับที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน โดยมองว่าคนเราไม่ได้ชื่นชอบการทำงาน แต่ทำเพียงเพราะต้องการเงิน คนเราจึงต้องถูกบังคับ ควบคุม หรือชี้นำเพื่อให้เกิดผลิตภาพ

ทฤษฎี Y ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า คนเรามีความสนใจในงานของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหา และต้องการเป็นนายตัวเองและรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง

McGregor ผู้มองการเข้าถึงศักยภาพของตนเป็นแรงกระตุ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีที่สองนี้ โดยจุดยืนเรื่องการมีส่วนร่วมกันของเขาเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ผู้คนในปัจจุบันหันมาสนใจรูปแบบการทำงานอย่างมีเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

2. ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ (Situational Leadership) ที่สร้างขึ้นโดย Paul Hersey และ Ken Blanchard ในปี 1969

โมเดลการเป็นผู้นำทีมรูปแบบนี้มีพัฒนาการมาตั้งแต่ช่วงเปิดตัวในปี 1969 โดยได้ให้ความสำคัญกับ 'ความสามารถ' และ 'ความมุ่งมั่น' ของสมาชิกในทีมแต่ละคน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขามีทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้หรือไม่ รวมถึงพวกเขามีความมั่นใจและแรงจูงใจมากพอที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาหรือไม่

ผู้นำทีมจะเป็นผู้ทำหน้าที่ประเมินสมาชิกโดยอิงตามเกณฑ์เหล่านี้และปรับรูปแบบการเป็นผู้นำของตนตามผลที่ได้จากการประเมินนั้น ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้นำส่งเสริมความสามารถและความมุ่งมั่นของสมาชิกในทีมได้ดียิ่งขึ้น

3. การเป็นผู้นำที่เน้นการกระทำ (Action Centered Leadership หรือ ACL) หรือ 'โมเดลวงกลม 3 วง' ซึ่งพัฒนาโดย John Adair ในปี 1973

โมเดลการเป็นผู้นำทีมรูปแบบนี้ถือได้ว่าเป็นโมเดลที่ล้ำสมัยอย่างมากเมื่อมีการเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1973 แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่คุณลักษณะของตัวผู้นำ โมเดลนี้เลือกที่จะมองว่าผู้นำจำเป็นต้องทำสิ่งใดเพื่อให้สามารถนำคนในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ งาน ทีมงาน และบุคคล โดยมีเป้าหมายเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างประเด็นเหล่านี้กับแต่ละช่วงเวลา

การดำเนินการเหลานี้สามารถแบ่งออกมาได้ 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ วิธีบรรลุเป้าหมาย วิธีสนับสนุนคนในทีม และวิธีพัฒนาแต่ละบุคคล โดยมีเป้าหมายเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างประเด็นเหล่านี้กับแต่ละช่วงเวลา

4. ความท้าทายของการเป็นผู้นำ (The Leadership Challenges) ซึ่งพัฒนาโดย James Kouzes และ Barry Posner ในปี 1987

ผู้นำจะทำอย่างไรเมื่อพวกเขาอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ข้อมูลจากแบบสำรวจจำนวนมากพบว่า นั่นคือคำถามที่แนวทางด้านการเป็นผู้นำทีมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงนี้พยายามจะหาคำตอบ โดย Kouzes และ Posner ได้กำหนด 5 ประเด็นที่ผู้นำที่มีความมุ่งมั่นควรให้ความสำคัญ

ทั้งคู่ได้นำเสนอแนวคิดที่ว่า ผู้นำควรกำหนดหลักการชี้นำชุดหนึ่งขึ้นมา ซึ่งสามารถนำไปสร้างวิสัยทัศน์ร่วมที่สร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานได้ จากนั้น โมเดลดังกล่าวก็จะกระตุ้นให้ทุกคนในทีมได้ตั้งคำถามกับสภาพการทำงานที่เป็นอยู่หรือเพื่อยอมรับว่ากระบวนการที่จัดทำขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นกระบวนการที่เหมาะสมเสมอไปและยังสามารถพัฒนากระบวนการได้อยู่ตลอดเวลา

ผู้นำควรส่งเสริมให้สมาชิกในทีมแสดงออกโดยเปิดโอกาสให้มีการทำงานร่วมกัน โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนขับเคลื่อนด้วยสิ่งความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งหมายถึง การตระหนักถึงความพยายามและการส่งเสริมให้ผู้คนบรรลุเป้าหมายในฐานะวิธีสร้างแรงจูงใจและสร้างความยืดหยุ่นปรับตัวของคนในทีม

5. รูปแบบการเป็นผู้นำตามสภาวะอารมณ์ 6 แบบ (The 6 Emotional Leadership Styles) ซึ่งจัดทำโดย Daniel Goleman ในปี 2002

ทฤษฎีของ Goleman ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นความฉลาดทางอารมณ์ กำหนดไว้ว่าผู้นำจะต้องเป็น 'บารอมิเตอร์' ที่คอยวัดสภาวะทางอารมณ์ที่ขึ้นลงของสมาชิกในทีม หลังจากนั้น ผู้นำจึงจะสามารถปรับรูปแบบการเป็นผู้นำให้เหมาะสมกับอารมณ์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี หากเป็นไปได้

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น Goleman จึงได้แบ่งรูปแบบการเป็นผู้นำไว้ 6 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์​(Visionary) ผู้นำที่เน้นการสอนงาน (Coaching) ผู้นำที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ (Affiliative) ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic) ผู้นำที่ยึดตัวเองเป็นมาตรฐาน (Pacesetting) และผู้นำที่เป็นคนคอยออกคำสั่ง (Commanding)

ทฤษฎีการเป็นผู้นำทีมคืออะไร

ทฤษฎีการเป็นผู้นำทีมคืออะไร

วิธีที่คนในทีมทำงานร่วมกันได้เปลี่ยนแปลงไป การทำงานจากทางไกล ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของโปรเจ็กต์ที่มีการทำงานแบบข้ามสายและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทั้งสองสิ่งนี้ส่งผลให้การเป็นผู้นำนั้นต้องมีความยืดหยุ่น มีความคิดสร้างสรรค์ และมีนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิวัฒนาการในครั้งนี้ได้ส่งผลให้เกิดการตั้งทฤษฎีการเป็นผู้นำทีม (Team Leadership Theory) ขึ้นมา

แนวทางด้านการเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์นี้ได้ลบภาพจำของลำดับขั้นของผู้นำและสมาชิกในทีมแบบเดิมๆ รวมถึงแนวคิดแบบกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของสถานะการเป็นผู้นำออกไป โดยผู้นำเป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในเวลานั้นๆ มากที่สุด

โมเดลนี้เกิดจากแนวคิดที่ว่า สมาชิกในทีมทุกคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันและทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วม โดยมีความสนใจร่วมที่จะประสบความสำเร็จเป็นทีม โมเดลการเป็นผู้นำทีมที่เปิดกว้างเช่นนี้จึงช่วยให้ทุกคนรู้สึกว่าตนมีบางสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่า ซึ่งสามารถนำมาแบ่งปันกับคนอื่นๆ ในทีมได้

เป้าหมายของโมเดลนี้คือการที่ทีมงานมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ซึ่งก็มักจะแสดงให้เห็นในรูปของผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม โมเดลนี้จำเป็นต้องอาศัยทีมที่แข็งแกร่ง มีพลวัตรด้านการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนในทีมเห็นชอบกับกระบวนการทำงานและมีประสบการณ์ทำงานในระดับหนึ่งจึงจะประสบความสำเร็จได้

ข้อดีและข้อเสียของทีมผู้นำ

ข้อดีและข้อเสียของทีมผู้นำ

ทีมผู้นำ ซึ่งเป็นกลุ่มคนแทนที่จะเป็นคนคนเดียวที่ทำหน้าที่ตัดสินใจสิ่งต่างๆ เป็นแนวคิดอีกรูปแบบหนึ่งของการเป็นผู้นำ โมเดลที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมนี้สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้เกือบทุกรูปแบบ โดยจำเป็นต้องอาศัยแนวทางที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งทำให้โมเดลนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียตามมา

ข้อดีของเป็นทีมผู้นำ

• แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ความคิดสร้างสรรค์
• ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ในการทำงานและความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างสมาชิกในทีม
• การแชร์ข้อมูลกันจะช่วยให้สมาชิกในทีมมีความรู้มากขึ้น นอกเหนือจากสาขาที่ตนเชี่ยวชาญ
• ส่งผลให้เกิดโซลูชั่นที่คิดมาแล้วอย่างรอบคอบระมัดระวัง (หลายหัวดีกว่าหัวเดียว)
• มีระดับความพึงพอใจในหน้าที่การงานมากขึ้น เนื่องจากทุกคนรู้สึกว่าความรู้และประสบการณ์ของตนนั้นมีความสำคัญ

ข้อเสียของทีมผู้นำ

• กระบวนการแบบประชาธิปไตยจำเป็นต้องอาศัยเวลาและความอดทน กระบวนการนี้จึงอาจมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อคุณจำเป็นต้องตัดสินใจเร่งด่วน
• ความคิดเห็นของแต่ละบุคคลอาจถูกตีตกและแทนที่ด้วยความคิดเห็นของบุคคลอื่น ซึ่งอาจทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกผิดหวังและถูกลดทอนคุณค่าได้
• บางครั้งทีมก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ซึ่งอาจทำให้ต้องมีจำนวนสมาชิกเป็นเลขคี่เพื่อบังคับให้มีการลงคะแนนเสียง หรือจำเป็นต้องมีการแต่งตั้งประธานขึ้นมา

คุณสมบัติของผู้นำทีมที่ยอดเยี่ยมมีอะไรบ้าง

คุณสมบัติของผู้นำทีมที่ยอดเยี่ยมมีอะไรบ้าง

ในปี 2020 ภูมิทัศน์ทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากการที่โควิด-19 ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก ทว่าภูมิทัศน์ดังกล่าวนี้ก็อยู่ในสภาพที่แปรปรวนอยู่ก่อนแล้วเช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล การก้าวเข้าสู่ความเป็นสากล การเมือง ความแตกต่างระหว่างคนในแต่ละรุ่น และวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก่อนหน้านี้แล้ว

ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ การเป็นผู้นำที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรดำเนินธุรกิจตามแนวทางที่กำหนดไว้ได้ แต่การเป็นผู้นำที่ดีนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไรล่ะ

ทักษะการเป็นผู้นำมีอะไรบ้าง

ทักษะการเป็นผู้นำมีอะไรบ้าง

การมีทักษะการเป็นผู้นำที่มีความสำคัญจะช่วยเปลี่ยนคุณจากผู้นำที่ดีให้กลายเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม โดยต่อไปนี้คือ 10 ตัวอย่างของทักษะดังกล่าว

รับรู้ความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การดำเนินการโดยไม่อ้างอิงสิ่งต่างๆ จากภายนอกเป็นกับดักที่จะทำให้คุณพลาดโอกาสต่างๆ ไป ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะสูญเสียเหล่าคนที่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวอีกด้วย

สิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และรับฟังเสียงจากคนในทีม คู่แข่งของคุณ ตลอดจนสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือจากวงการของคุณเองด้วย คุณจะต้องตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ความสนใจกับความเห็นต่างๆ วิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ พร้อมที่จะเรียนรู้ และดึงความเชี่ยวชาญของผู้อื่นออกมาเพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนของคุณได้อย่างประสบความสำเร็จ

ฝึกฝนทักษะทางด้านอารมณ์ (Soft Skills)

งานวิจัยจาก McKinsey Global Institute พบว่ากระบวนการทำงานทั้งหมดในปัจจุบันกว่าครึ่งหนึ่งจะดำเนินการโดยระบบอัตโนมัติภายในปี 2055 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้พนักงานในสหรัฐฯ และภูมิภาคยุโรปใช้เวลาไปกับทักษะทางด้านอารมณ์เพิ่มขึ้น 24% ด้วยกัน

ทักษะทางด้านอารมณ์หรือที่เรียกกันว่าทักษะไม่เฉพาะทาง มักถูกลดทอนคุณค่าและเป็นทักษะที่นำมาคิดคำนวณเป็นตัวเลขได้ยากกว่าทักษะในการทำงาน (Hard Skills) อย่างการเขียนโค้ดหรือการจัดทำงบประมาณ ทว่าทักษะนี้ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเป็นผู้นำทีมที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน ความสามารถในการทำงานร่วมกัน ให้ความรู้ แสดงออกถึงความฉลาดทางอารมณ์ รวมถึงปรับตัวและสนับสนุนให้พนักงานของคุณทำในสิ่งเดียวกันนี้คือกาวที่จะยึดทุกคนในทีมของคุณเข้าไว้ด้วยกัน

เปิดรับโลกดิจิทัล

ความนิยมของอีคอมเมิร์ซ การทำงานออนไลน์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติส่งผลให้ธุรกิจก้าวเข้าสู่โลกยุคดิจิทัล ทว่างานวิจัยจาก MIT Sloan Management Review กลับเผยให้เห็นว่า มีบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงแค่ 7% เท่านั้นที่มีทีมผู้บริหารที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล นอกจากนี้ ข้อมูลจากการประเมินบริษัทต่างๆ เกือบ 2,000 แห่งยังพบอีกด้วยว่า บริษัทที่มีผู้นำที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมีรายได้เพิ่มขึ้นและมูลค่าบริษัทมากกว่าบริษัทคู่แข่งมากกว่าถึง 48% ด้วยเช่นกัน

สิ่งสำคัญสำหรับผู้นำทีมคือ การทำความเข้าใจศักยภาพของโลกดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนวิธีดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับการอ้าแขนรับเทคโนโลยีที่มีให้ใช้งานในปัจจุบันซึ่งจะสามารถสนับสนุนการทำงานเป็นทีมได้ ซึ่งก็คือการมีแนวทางในการสื่อสารผ่านทางวิดีโอ การแชท การแบ่งปันความรู้ และอื่นๆ ที่ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น

เข้าใจทีมที่ทำงานแบบไฮบริด

รูปแบบการทำงานของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว เรามีการตัดสินใจ รายงาน วิเคราะห์ และประสานงานจากทางไกลกันมากขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยจาก MIT Sloan Business Review ยังระบุด้วยว่า นี่เป็นเทรนด์ที่จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม การมีปฏิสัมพันธ์แบบได้เห็นหน้าซึ่งกันและกันก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทีมที่ต้องการเติบโตไปข้างหน้า เนื่องจากการมีปฏิสัมพันธ์เช่นนี้จะช่วยให้แต่ละคนได้สานสัมพันธ์ทางอารมณ์กับผู้อื่น เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยในประเด็นที่ซับซ้อน รวมถึงช่วยให้พนักงานสามารถบูรณาการความรู้ แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน สร้างสรรค์นวัตกรรม และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย

ผู้นำควรทำความเข้าใจและรักษาสมดุลระหว่างข้อดีกับข้อเสียของการทำงานร่วมกันบนโลกออนไลน์และแบบพบปะกันต่อหน้า บริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพในทั้งสองสถานการณ์ ตลอดจนส่งเสริมให้คนในทีมปฏิบัติตามด้วยการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและการให้คำแนะนำที่ชัดเจน เป็นต้น

สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นผู้นำทีมที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีทักษะการสื่อสารทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมที่ไม่ใช่แค่เพื่อรับมือกับรูปแบบการทำงานในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การสื่อสารที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ลดโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูง ทั้งยังช่วยสร้างสายสัมพันธ์ในการทำงานที่เหนียวแน่นซึ่งจะช่วยให้สมาชิกในทีมของคุณมีส่วนร่วม รับทราบข้อมูลข่าวสาร และรู้สึกได้รับการสนับสนุนอยู่เสมอ

Forbes ได้ตั้งข้อสังเกตเชิงประวัติศาสตร์ไว้ว่า การเป็นนักสื่อสารที่ยอดเยี่ยมกับการเป็นนักพูดที่ยอดเยี่ยมนั้นเป็นคนละอย่างกัน การเป็นนักสื่อสารที่ยอดเยี่ยมนั้นเกี่ยวข้องกับคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ คุณจึงควรใช้เวลาไตร่ตรองก่อนจะกล่าวสิ่งต่างๆ รวมถึงให้ความสำคัญกับการสนทนาแบบสองทาง แทนที่จะเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว ตลอดจนส่งเสริมให้สมาชิกในทีมได้พัฒนาทักษะการสื่อสารของตนเองด้วยเช่นเดียวกัน

มีวิสัยทัศน์

การมองไปข้างหน้าและมีวิสัยทัศน์ด้านการฟื้นตัวและการเติบโตเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ท้าทาย ซับซ้อน และยากลำบาก คุณควรใช้เวลาไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เช่น คุณอยากให้ทีมงานและองค์กรของตัวเองเป็นอย่างไรในอีก 5 หรือกระทั่ง 10 ปีข้างหน้า

หลังจากนั้น คุณควรถ่ายทอดวิสัยทัศน์ออกมาอย่างชัดเจนและรัดกุม ในฐานะผู้นำ คุณมีหน้าที่ในการกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงสร้างบทสนทนากับสมาชิกในทีมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น คุณควรตรวจดูให้มั่นใจว่าผู้คนเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงบทบาทของตัวเองในการทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง อัพเดตความคืบหน้าต่างๆ อยู่เสมอ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้สอบถามและให้ความเห็น และเหนือสิ่งอื่นใดคือเป็นผู้นำที่ซื่อสัตย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

สนับสนุนความหลากหลาย

งานวิจัยเผยให้เห็นว่า บริษัทที่มีความหลากหลายส่งผลให้ทีมฝ่ายการจัดการและบอร์ดผู้บริหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทที่เปิดรับความหลากหลายจะมีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มากกว่า นอกจากนี้ ทีมที่มีความหลากหลายก็จะมีทั้งความรู้และประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งช่วยให้เห็นปัญหาหรือความท้าทายได้จากหลากหลายแง่มุมอีกด้วย

การเป็นผู้นำทีมที่ดีจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริม สนับสนุน และโอบรับความหลากหลายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งวิธีการทำเช่นนั้นก็มีอยู่มากมาย ตั้งแต่การกำจัดอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวไปจนถึงการปรับปรุงวิธีการทำงานกับทีมที่มีสมาชิกจากหลากหลายประเทศ

มีความคิดสร้างสรรค์

LinkedIn ยกให้ความคิดสร้างสรรค์เป็น 'ทักษะที่สำคัญที่สุดในโลก' และเป็นทักษะทางด้านอารมณ์ที่บริษัทต่างๆ ล้วนต้องการมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Forbes กลับพบว่า ผู้ใหญ่กว่า 75% เชื่อว่าตนเองไม่ได้ 'ใช้พลังความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองอย่างเต็มที่' แต่กลับอยู่ภายใต้แรงกดดันให้ต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแทน

ผู้นำที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมีมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างออกไป นำความสามารถรอบด้านมาใช้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงมีความพึงพอใจในหน้าที่การงานมากขึ้น การมองความท้าทายว่าเป็นสิ่งที่สร้างแรงจูงใจจากภายใน การสร้างทีมที่มีความหลากหลาย และการกล้าที่จะตั้งคำถามกับสมมติฐานต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณสร้างองค์กรที่โดดเด่นและได้เปรียบในการแข่งขันอย่างที่บริษัทอื่นๆ ไม่สามารถเทียบได้

พัฒนาความสามารถของตนเองในฐานะผู้จัดการ

ลำดับขั้นขององค์กรโดยทั่วไปมักจะมอบรางวัลแก่พนักงานที่ทำงานยอดเยี่ยมในสาขาที่ตนเชี่ยวชาญเป็นบทบาทผู้นำต่างๆ ซึ่งแม้ว่าสิ่งนี้อาจช่วยให้คุณเป็นมืออาชีพที่มีทักษะที่หาตัวจับยาก แต่ชุดทักษะดังกล่าวอาจไม่ได้มีการจัดการบุคลากรรวมอยู่ในนั้นด้วยเสมอไป

นอกจากการทำความเข้าใจธุรกิจ เป้าหมาย ขั้นตอน และการดำเนินธุรกิจแล้ว คุณเองก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจวิธีที่ผู้คนทำงาน รวมถึงวิธีที่คุณจะช่วยเหลือพวกเขาและดึงความสามารถของพวกเขาออกมาใช้ในเวลาที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน

ตรงกันข้ามกับโครงสร้างองค์กรที่วางผู้นำทีมไว้ที่ด้านบนของสามเหลี่ยม โมเดลที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าจะกลับหัวสามเหลี่ยมดังกล่าว แล้วนำคุณไปอยู่ด้านล่างสุดซึ่งเป็นตำแหน่งสนับสนุนแทน คำถามคือ คุณสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้มั่นใจว่าทีมของคุณมีทุกสิ่งอย่างที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ คำตอบอาจอยู่ที่การฝึกอบรมและให้คำแนะนำ การมอบเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เหมาะสม การทำให้เป้าหมายและวัตถุประสงค์มีความชัดเจน หรือการสร้างแรงจูงใจและแรงบันดาลใจให้สมาชิกในทีมทำงานที่ได้รับมอบหมาย

ทำเป็นตัวอย่าง

ผู้นำที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ข้างสนามแล้วตะโกนสั่ง แต่เป็นคนที่มีส่วนร่วมกับคนในทีมของตนอย่างเต็มที่ ทั้งยังเป็นแบบอย่างให้ผู้คนรอบข้างปฏิบัติตามอีกด้วย การปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจหรือความสามารถในการฟังและปฏิบัติตามข้อเสนอแนะ เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม

ในสถานการณ์ที่ต้องอาศัยความเป็นผู้นำทีม คุณคือผู้ที่คนอื่นๆ ให้ความสนใจ คุณจึงควรระมัดระวังในสิ่งที่พูดและวิธีพูด รวมถึงรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตนเอง นอกจากนี้ ความกระตือรือร้นของคุณเองก็สามารถส่งต่อไปยังคนอื่นๆ ได้เช่นกัน ดังนั้น คุณจะต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณกำลังจะนำเสนอกับสมาชิกในทีมก่อน ทั้งนี้ กุญแจสำคัญอยู่ที่ความซื่อสัตย์และการยึดหลักความถูกต้อง หากตัวคุณเองไม่มีความเชื่อมั่น ทีมของคุณก็จะไม่มีสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย คุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

การเป็นผู้นำทีมที่ดีส่งผลอย่างไรบ้าง

การเป็นผู้นำทีมที่ดีส่งผลอย่างไรบ้าง

การเป็นผู้นำทีมที่ดีจะช่วยให้คุณสร้างผลลัพธ์ได้เป็นวงกว้าง

ผลต่อทีมของคุณ...

ในฐานะผู้นำทีม คุณจะมีบทบาทในการสร้างความมั่นใจและความสามารถให้กับคนในทีม รวมถึงเป็นศูนย์กลางของการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ให้ความสำคัญกับแต่ละบุคคลและตระหนักถึงความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่คนเหล่านั้นมี นอกจากนี้ คุณยังสามารถสร้างหรือทำลายขวัญกำลังใจของคนรอบข้างจากการปฏิบัติต่อพวกเขา และได้รับความความภักดีเพิ่มขึ้นจากการให้ความเคารพคนในทีมและให้การสนับสนุนในสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับอีกด้วย

วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ และความถูกต้องจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานและความพึงพอใจในหน้าที่การงาน สมาชิกในทีมของคุณจะรู้สึกปลอดภัยเมื่อต้องรับมือกับความท้าทาย ได้รับเครดิตที่พวกเขาสมควรได้รับ และได้สัมผัสถึงความสำเร็จที่แท้จริงของตนเอง

ผลต่อธุรกิจ...

ทีมที่แข็งแกร่งจะเป็นรากฐานที่ทำให้ธุรกิจดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้ผลิตภาพ การบริการและความพึงพอใจของลูกค้า นวัตกรรม และประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามรายได้ พนักงานที่มีส่วนร่วมและมุ่งมั่นทุ่มเทมีแนวโน้มที่จะทำงานขยันขันแข็งมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพราะพวกเขาจำเป็นต้องทำ แต่เพราะพวกเขาต้องการทำ

การเป็นผู้นำทีมที่ดีส่งผลให้ธุรกิจมีอัตราอัตราการทำงานต่อกับบริษัทสูง ทั้งยังสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทในฐานะองค์กรที่ใครๆ ก็ชื่นชอบ (และประสบความสำเร็จ) จนอยากร่วมงานด้วย ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ช่วยให้องค์กรมีความน่าสนใจกว่าองค์กรคู่แข่ง และสามารถดึงดูดเหล่าผู้มีความสามารถที่ต้องการประสบความสำเร็จได้

ผลต่อสังคมรอบข้าง...

ผู้นำที่ดีจะเป็นผู้กำหนดแนวทางปฏิบัติของธุรกิจที่มีคุณธรรม ตั้งแต่วิธีปฏิบัติต่อพนักงานของตนเองไปจนถึงทัศนคติที่มีต่อลูกค้า ทั้งยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่าองค์กรนั้นๆ มีมุมมองต่อตนเองอย่างไรในโลกใบนี้ รวมถึงความรับผิดชอบต่างๆ ที่ตามมา

การตัดสินใจของผู้นำ ตั้งแต่เรื่องห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงความหลากหลายที่ได้รับการส่งเสริมทั่วทั้งบริษัท สิ่งเหล่านี้จะแผ่ขยายออกไปยังวงกว้าง

นอกจากนี้ ผู้นำเองก็ยังส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างเช่นเดียวกัน การปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างนั้นส่งผลมากกว่าแค่กับผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ เทคโนโลยีช่วยให้คุณมีศักยภาพที่จะสร้างอิทธิพลต่อผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้คนได้รับรู้การตัดสินใจต่างๆ ของคุณและทำให้เกิดการแชร์เรื่องราวดังกล่าวไปทั่วโลก

ในโลกที่เชื่อมต่อถึงกันเช่นนี้ ทุกการกระทำจะมีผลลัพธ์ตามมาเสมอ ซึ่งในฐานะผู้นำ คุณคือผู้ตัดสินใจว่าจะกระทำสิ่งใด

อ่านต่อ

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

โพสต์ล่าสุด

ความเป็นผู้นำ | ใช้เวลาอ่าน 11 นาที

ผู้นำคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญ

ผู้นำคืออะไร ผู้นำเหมือนกับผู้จัดการหรือไม่ คุณสามารถเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำได้หรือไม่ เราจะพาคุณไปสำรวจปัจจัยต่างๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดผู้นำและเหตุผลที่การเป็นผู้นำที่ดีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจ

ความเป็นผู้นำ | ใช้เวลาอ่าน 7 นาที

การเป็นผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือคืออะไรและจะช่วยให้ทีมของคุณใกล้ชิดกันได้อย่างไร

ผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือเชื่อมั่นในการรวมทีมที่มีความหลากหลายเข้าด้วยกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร แก้ไขปัญหาต่างๆ รวมไปถึงแบ่งปันข้อมูลระว่างกัน แต่จริงๆ แล้ว การจะเป็นผู้นำที่ส่งเสริมความร่วมมือได้มากขึ้นนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เรามาสำรวจสิ่งเหล่านี้ไปด้วยกัน

วัฒนธรรม | ใช้เวลาอ่าน 11 นาที

วัฒนธรรมในที่ทำงาน: นิยามและวิธีสร้างผลลัพธ์เชิงบวกในองค์กรของคุณ

เมื่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง การสร้างวัฒนธรรมในที่ทำงานในเชิงบวกกลายจึงเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนสำหรับธุรกิจไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้