การทำงานจากทางไกลจะเป็นอย่างไรในอนาคต

เทรนด์การทำงานจากทางไกลที่เราจะได้เห็นในปี 2022 คืออะไร เราจะทำงานจากที่บ้านมากกว่าเดิม หรือออฟฟิศจะกลับมาเป็นหัวใจหลักของชีวิตการทำงานอีกครั้ง เรามาลองดูไปด้วยกัน

การทำงานจากทางไกล | ใช้เวลาอ่าน 5 นาที

นักวิจารณ์ต่างพูดถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำงานทางไกลครั้งใหญ่มานานหลายปี แต่เรื่องนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย

เพราะอุปสรรคอย่างเทคโนโลยีที่ยังไม่พร้อมและการขาดการติดต่อแบบเห็นหน้าค่าตานั้นดูยากเกินกว่าที่จะก้าวข้าม จนการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มรูปแบบไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ในระหว่างการระบาดใหญ่ทั่วโลก กำแพงที่คอยขวางการทำงานทางไกลก็พังทลายลงในพริบตาด้วยการล็อกดาวน์และมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้พนักงานประมาณ 557 ล้านรายทั่วโลกต้องทำงานจากที่บ้าน

แม้ว่าการระบาดใหญ่ทั่วโลกจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีท่าทีของการกลับมาทำงานแบบปกติก่อนเกิดโควิดแต่อย่างใด และในระหว่างที่โควิดจะอยู่กับเราไปอีกนาน การทำงานทางไกลก็อาจไม่ได้ดำเนินต่อไปในวิถีทางเดิม

บางองค์กรไม่ได้ชอบพอการทำงานจากทางไกลเหมือนองค์กรอื่นๆ เท่าไรนัก และแม้ว่าพนักงานบางรายอาจไม่ต้องการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศอีก แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่พบว่าตนไม่เหมาะกับการทำงานที่บ้านแบบเต็มเวลา (ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะทำอย่างไรก็ไม่มีทางสมบูรณ์แบบ) เอาเสียเลย

ฉะนั้นแล้ว อนาคตของการทำงานทางไกลจะเป็นอย่างไร

การกลับสู่ที่ทำงาน

ดาวน์โหลดคู่มือสิ่งที่ควรรู้นี้เพื่อสำรวจโอกาสและความท้าทายที่ผู้คนต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

การทำงานทางไกลจะคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์

การทำงานทางไกลจะคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์

หากคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ คุณอาจคิดว่าทุกคนสามารถทำงานที่บ้านได้บ้างเป็นบางครั้ง และแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่การทำงานทางไกลในระหว่างการระบาดใหญ่ทั่วโลกก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว

ตัวอย่างเช่นในสหราชอาณาจักร 36% ของพนักงานทำงานจากที่บ้านในปี 2020 ซึ่งมากกว่าปี 2019 อยู่ 9% ส่วนในสหรัฐฯ ซึ่งมีเพียง 7% ของพนักงานที่ทำงานจากที่บ้านเป็นประจำตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก พนักงาน 36% กล่าวว่าตนทำงานทางไกลเพราะโควิด

แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกสายงาน พนักงานในธุรกิจบริการ เช่น พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ต ช่างทำผม ช่างไฟฟ้า และพยาบาล ต่างก็ไม่มีตัวเลือกให้ทำงานทางไกลทั้งสิ้น แบบสำรวจที่สอบถามผู้บริหารระดับสูง 500 รายจาก Fortune เผยว่า ลักษณะการทำงานเช่นนี้จะดำเนินต่อไป

ตัวอย่างเช่น 15% ของพนักงานที่ทำงานในธุรกิจสุขภาพต่างคาดหวังว่าตนจะได้ทำงานจากทางไกลอย่างเต็มเวลาหลังผ่านพ้นการระบาดใหญ่ไปแล้ว ส่วนพนักงานในภาคส่วน IT กว่า 40% ก็คาดหวังเช่นเดียวกัน ดังนั้น บริษัทที่ให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ ให้พนักงานทำงานทางไกล หรือให้พนักงานทำงานแนวหน้า ก็ต่างเผชิญกับอุปสรรคของการสร้างสายสัมพันธ์ให้กับทีมที่ทำงานในลักษณะแตกต่างกันเช่นนี้

alttext

อนาคตของการทำงานทางไกลที่องค์กรของคุณเป็นอย่างไร

เราจะทำงานทางไกลต่อไปหรือไม่ในปี 2022

เราจะทำงานทางไกลต่อไปหรือไม่ในปี 2022

เราไม่สามารถฟันธงได้ว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ขั้นตอนที่องค์กรต่างๆ กำลังดำเนินการช่วยให้เราเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง องค์กรชั้นนำหลายแห่งยินดีเปิดใจรับการทำงานทางไกลถึงขั้นที่จะเลือกใช้การทำงานในรูปแบบนี้เป็นปกติเลยทีเดียว

  • โดยบริษัทประกันภัยในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนจะลดจำนวนออฟฟิศจาก 20 แห่งเหลือเพียง 4 แห่งเท่านั้น

  • ในปี 2020 บริษัท Shopify ประกาศว่าตนจะเป็น "บริษัทดิจิตอลเต็มตัว" และพนักงานส่วนใหญ่จะได้ทำงานทางไกลอย่างถาวร

  • Dropbox ผันตัวมาเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการทำงานบนออนไลน์ และให้การทำงานทางไกลเป็นตัวเลือกแรกของพนักงาน

  • LinkedIn จะอนุญาตให้พนักงานเลือกได้ว่าจะทำงานแบบใด ระหว่างทำงานทางไกลเต็มเวลาหรือแบบผสมผสาน

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พอใจกับสิ่งนี้ David Solomon ผู้เป็นซีอีโอของ Goldman Sachs อธิบายเกี่ยวกับการทำงานที่บ้านว่าเป็น "ความผิดปกติที่เราจะแก้ไขโดยเร็วที่สุด" และยังมีรายงานว่า ข้าราชการพลเรือนของอังกฤษจะถูกลดเงินค่าจ้างหากไม่กลับมาทำงานที่ออฟฟิศ

วัฒนธรรมองค์กรเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับองค์กรที่ต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานประจำที่ เนื่องจากองค์กรเหล่านี้กังวลใจว่าการทำงานทางไกลอาจไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน อีกทั้งยังกังวลว่าพนักงานรุ่นใหม่ๆ อาจพลาดกระบวนการฝึกงานที่ไม่สามารถใช้วิธีทำงานทางออนไลน์มาจำลองได้

และถึงแม้ว่าหลักฐานต่างๆ อาจชี้ให้เห็นเป็นอื่น แต่ใครๆ ก็อาจแอบคิดเหมือนกันว่าผู้นำองค์กรย่อมเป็นกังวลว่าพนักงานที่ทำงานทางไกลจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนในเวลาปกติหรือไม่

ในขณะที่องค์กรซึ่งปรับมาทำงานทางไกลอย่างเต็มรูปแบบต่างคาดหวังว่าตนจะได้รับผลประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสรรหาบุคลากรได้ง่ายขึ้น การดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น และยังไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษาสถานที่จำนวนมากอีกด้วย

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย คุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

ในอนาคต ทุกคนจะทำงานทางไกลหรือไม่

ในอนาคต ทุกคนจะทำงานทางไกลหรือไม่

แม้ว่าหลายๆ คนจะทำงานทางไกลในตอนนี้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากบางสายงานไม่สามารถทำทางออนไลน์ได้ เช่น งานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรเฉพาะทาง หรืองานที่ต้องพบปะกันเป็นการส่วนตัว

การตัดสินใจทำงานทางไกลก็เกี่ยวเนื่องกับรายได้อย่างมากเช่นกัน โดยครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่ามักมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปทำงานทางไกลในระหว่างการระบาดใหญ่น้อยกว่า และในภาพรวมที่กว้างขึ้น ประเทศที่มีรายได้สูงก็มีแนวโน้มที่จะมีพนักงานทำงานจากบ้านมากกว่า มีการประมาณว่า 25% ของพนักงานทำงานทางไกลระหว่างการระบาดใหญ่ทั่วโลกในประเทศที่มีรายได้สูง โดยที่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำนั้นมีผู้ทำงานทางไกลเพียง 13%

แนวโน้มของการทำงานทางไกลในอนาคต

แนวโน้มของการทำงานทางไกลในอนาคต

หลายๆ บริษัทพบว่า ในอนาคตตนต้องหาทางสายกลางระหว่างการทำงานออนไลน์เพียงอย่างเดียวและการให้พนักงานทุกคนกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศห้าวันต่อสัปดาห์ เมื่อ PwC สอบถามพนักงาน บริษัทพบว่ามีเพียง 13% ของพนักงานเท่านั้นที่ต้องการทำงานทางไกลไปตลอด แม้ว่าผู้บริหารจำนวนน้อยกว่า 1 ใน 5 จะต้องการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศเหมือนอย่างช่วงก่อนเกิดการระบาดของไวรัสโควิด

และผลสรุปคือ "บริษัทส่วนใหญ่กำลังมุ่งไปทางวิธีการทำงานแบบลูกผสม กล่าวคือ ให้พนักงานในออฟฟิศจำนวนมากหมุนเวียนกันเข้าและออกจากออฟฟิศซึ่งออกแบบมาให้เป็นพื้นที่ทำงานร่วมกัน"

ซึ่งวิธีนี้ทำให้ทุกคนต่างได้รับประโยชน์ถ้วนหน้า โดยองค์กรได้รับอานิสงส์จากประโยชน์ของวัฒนธรรม การทำงานร่วมกัน และความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเกิดจากการรวบรวมพนักงานให้อยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ส่วนพนักงานก็ได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นและพื้นที่ที่ตนชื่นชอบเมื่อได้ทำงานทางไกล

แม้ว่าวิธีนี้จะยังไม่ถือว่าเป็นการปฏิวัติเทียบเท่ากับการทำงานทางไกลอย่างเต็มรูปแบบสำหรับทุกคน แต่การทำงานแบบลูกผสมซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายเช่นนี้ก็ยังถือเป็นแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในหลายๆ แง่มุมของชีวิตเรา ใจกลางเมืองที่เคยเป็นศูนย์รวมพนักงานจำนวนมากซึ่งเดินทางเข้ามาทำงานทุกวันจะต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีการทำงานรูปแบบใหม่ เครือข่ายคมนาคมขนส่งจะมีผู้ใช้บริการน้อยลง

และแน่นอนว่าการทำงานทางไกลและแบบผสมผสานทำให้มีตัวเลือกด้านที่อยู่อาศัยมากขึ้น เนื่องจากผู้คนไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ใกล้สถานที่ทำงานของตนอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ เมืองของเราอาจเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

การทำงานทางไกลมีข้อดีอย่างไรบ้าง

การทำงานทางไกลมีข้อดีอย่างไรบ้าง

การอนุญาตให้ผู้คนทำงานทางไกลเป็นบางครั้งบางคราวทำให้องค์กรได้รับประโยชน์มากมาย ซึ่งได้แก่ข้อดีทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้

  1. บุคลากร

    เมื่อไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่อีกต่อไป องค์กรก็สามารถสรรหาพนักงานใหม่จากที่ใดก็ได้ ทั้งยังมีโอกาสมากขึ้นในการพบเจอผู้สมัครที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้สมัครเหล่านั้นอาศัยอยู่ที่ใด หรือแม้กระทั่งการสรรหาบุคลากรจากต่างประเทศก็เป็นไปได้ ด้วยเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะทำให้การทำงานจากต่างโซนเวลาเป็นเรื่องง่ายดาย

  2. ใช้สถานที่ทำงานของคุณให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    การให้พนักงานทำงานในออฟฟิศเป็นบางเวลาช่วยให้ผู้จัดการและผู้บริหารได้รับประโยชน์สูงสุดจากการพบปะกับทีมของตน โดยใช้โอกาสนี้ไปกับการจัดการประชุมตัวต่อตัวและส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการเข้าสังคม

  3. ความหลากหลายและการเปิดกว้างที่มากยิ่งขึ้น

    เมื่อองค์กรสามารถรับสมัครพนักงานใหม่จากที่ใดก็ได้ อุปสรรคในการจ้างงานขององค์กรก็จะถูกทำลายลง และช่วยให้องค์กรสามารถจ้างงานผู้ที่เหมาะสมได้โดยไม่คำนึงถึงเพศหรือเชื้อชาติ หรืออุปสรรคต่อการทำงานอย่างการเลี้ยงดูบุตรหลานของผู้ปกครองบางรายก็อาจถูกขจัดออกไปเมื่อผู้คนสามารถทำงานจากที่บ้านได้

  4. ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น

    การวิจัยเผยว่าการทำงานทางไกลทำให้เกิดผลิตภาพที่ดี เนื่องจากผู้คนไม่ต้องทิ้งเวลาไปกับการเดินทางและถูกรบกวนจากสิ่งต่างๆ ในออฟฟิศน้อยลง หลายคนจึงรู้สึกว่าการทำงานที่บ้านช่วยมอบทั้งเวลาและพื้นที่ส่วนตัวสำหรับการทำงานให้แก่ตน McKinsey ประมาณการว่า มากกว่า 20% ของพนักงานสามารถทำงานส่วนหนึ่งจากทางไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเมื่อทำงานที่ออฟฟิศ

  5. การมีส่วนร่วมของพนักงานที่ดียิ่งขึ้น

    การให้โอกาสในการทำงานทางไกลและความยืดหยุ่นที่มาพร้อมกันเป็นสิ่งที่พนักงานหลายๆ คนต้องการ โดยแบบสำรวจหนึ่งเผยว่า 98% ของพนักงาน1กล่าวว่าตนอยากจะทำงานทางไกลบ้างเป็นบางครั้ง การมอบตัวเลือกทำงานทางไกลให้แก่พนักงานอาจช่วยเสริมสร้างความผูกพันที่มีต่อองค์กรและยังช่วยให้พนักงานทุ่มเทกับการทำงานมากขึ้นอีกด้วย

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร

ดาวน์โหลดเลย
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร

ดาวน์โหลดเลย

โพสต์ล่าสุด

การทำงานจากทางไกล | ใช้เวลาอ่าน 7 นาที

การทำงานจากทางไกล: ทำอย่างไรจึงจะได้ผลสำหรับคุณ

เราทำงานจากทางไกลกันมากขึ้น และอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ค้นพบข้อดีและข้อเสียของการทำงานจากทางไกลและวิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากการทำงานรูปแบบนี้

การทำงานจากทางไกล | ใช้เวลาอ่าน 9 นาที

ไอเดียการสร้างโฮมออฟฟิศในราคาประหยัด: เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

หลังจากเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก การทำงานจากทางไกลและการทำงานแบบผสมผสานจะคงอยู่ไปอีกนาน ดูคู่มือนี้เพื่อสร้างโฮมออฟฟิศที่ใช้ทั้งพื้นที่และเงินอย่างคุ้มค่าที่สุด

การทำงานจากทางไกล | ใช้เวลาอ่าน 6 นาที

เหตุใดความไว้วางใจจึงเป็นส่วนสำคัญอันดับหนึ่งในทีมการทำงานจากทางไกลที่ประสบความสำเร็จ

เมื่อผู้คนไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทีมต่างๆ ก็จะมีความสุขและทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับความไว้วางใจบ้างเมื่อเราทำงานจากทางไกล