ในการจะอธิบายถึงข้อดีของ API ก่อนอื่นเราควรเริ่มต้นด้วยการพิจารณาว่า API ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างไรบ้าง API ช่วยให้เราเปรียบเทียบเที่ยวบินและประกันภัย สั่งอาหารกลับบ้านผ่านโทรศัพท์ และสมัครใช้งานเว็บไซต์ผ่านโซเชียลมีเดีย

นอกจากที่กล่าวไปแล้วนั้น API ก็ยังช่วยให้ชีวิตในที่ทำงานของเราง่ายขึ้นอีกด้วย เพราะหมายความว่าเราไม่ต้องเข้าสู่ระบบในแต่ละแอพพลิเคชั่นแยกกันหรือสลับหน้าจอทุกครั้งที่ต้องการทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งจะช่วยสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันที่มีความปลอดภัยและมีผลิตภาพดีขึ้น

มีบริษัทเพียง 14% เท่านั้นที่เชื่อว่ากระบวนการภายในสำหรับการทำงานร่วมกันนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง API ก็อาจเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้องค์กรเชื่อมต่อถึงกันได้ดียิ่งขึ้น

API คืออะไร

API ย่อมาจาก Application Programming Interface ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวส่งข้อมูลระหว่างแอพพลิเคชั่นสองตัวและอนุญาตให้แอพพลิเคชั่นเหล่านั้นส่งข้อมูลถึงกัน API จะบอกระบบว่าคุณต้องการทำอะไร ตอบกลับมาหาคุณ และทำหน้าที่เป็นอินเทอร์เฟซระหว่างคุณกับแอพพลิเคชั่น

พร้อมรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น API ตัวอื่นๆ ฐานข้อมูล และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเชื่อมต่อกับผู้คน ธุรกิจ และสิ่งต่างๆ

เมื่อคุณใช้พีซีหรือแล็ปท็อป API คือสิ่งที่ทำให้คุณสามารถตัดและวางส่วนย่อยจากเว็บไซต์ลงในเอกสารหรือสเปรดชีทได้ และทุกครั้งที่คุณแชร์หรือทำงานร่วมกันในไฟล์หรือส่งข้อความด่วน นั่นแหละคือตอนที่คุณกำลังใช้ API อยู่

มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อทำงานร่วมกัน: เชื่อมต่อผู้คนในที่ทำงาน

แล้วทำไม API จึงมีความสำคัญในโลกของการทำงานล่ะ ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ เรารู้ว่าผู้คนมักต้องการใช้เครื่องมือหลายๆ อย่างในการทำงานให้เสร็จ และเราเชื่อว่าเครื่องมือเหล่านี้ควรทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นไม่ว่าคุณจะใช้งานแพลตฟอร์มใด

เราเรียกกลยุทธ์นี้ว่า "ร่วมกันเพื่อสิ่งที่ดีกว่า" และนี่เองเป็นเหตุผลที่เรายังคงลงทุนไปกับไดเรกทอรีการผสานการทำงานและร่วมมือกับผู้ให้บริการรายอื่นเพื่อพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ เนื่องจากการทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้นำด้านไอทีได้รับประโยชน์จากการลงทุนในซอฟต์แวร์ที่มีอยู่มากขึ้น ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารระดับสูงในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงไปเป็นดิจิทัลต่อไปได้อีกด้วย

ต่อไปนี้คือสามวิธีที่ API สามารถช่วยทำให้การทำงานดีขึ้นสำหรับทุกคนได้

ทำให้การทำงานเป็นเรื่องสนุกยิ่งขึ้น

ธุรกิจสมัยใหม่กำลังรับมือกับข้อมูลที่รวบรวมมาจากบุคลากร ซัพพลายเออร์ และลูกค้าของตนเองอย่างต่อเนื่อง

และเนื่องด้วย Workplace มีแอพพลิเคชั่นบนเดสก์ท็อปที่สลับไปมาระหว่างกันเพียงไม่กี่ตัว อีกทั้งยังไม่ต้องมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีใช้แอพพลิเคชั่นเหล่านั้นมากมายอะไร คุณจึงสามารถทำงานต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมแพลตฟอร์มที่คุ้นเคยและไม่ต้องป้อนข้อมูลซ้ำซ้อน

นอกจากนั้นแล้ว คุณยังสามารถทำให้กระบวนการที่เป็นแบบแผนและซ้ำซากเป็นระบบอัตโนมัติได้โดยใช้การผสานการทำงานที่เปิดใช้งาน API อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ใน Workplace คุณสามารถใช้บอทเพื่อทำให้กระบวนการทำงานเป็นระบบอัตโนมัติเพื่อให้ผู้คนสามารถเอาเวลาไปทำงานที่สำคัญกว่าได้

ช่วยทำให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพ

เดดไลน์จะกลายเป็นฝันร้ายและขวัญกำลังใจจะถดถอยลงเมื่อสมาชิกในทีมมีอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการทำงานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถเชื่อมต่อเครื่องมือต่างๆ ที่ผู้คนใช้อยู่แล้วผ่าน Workplace เพื่อช่วยให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริงได้

แพลตฟอร์มอย่าง Workplace จะช่วยให้คุณสามารถแชร์ จัดเก็บ และแก้ไขเอกสารบนระบบคลาวด์ได้อย่างปลอดภัยด้วยการใช้แพ็คเกจต่างๆ เช่น OneDrive และ Quip รวมถึงยังสามารถจัดการโปรเจ็กต์ทั้งหมดด้วย Jira ได้อีกด้วย

ทำงานได้รวดเร็วขึ้นและชาญฉลาดยิ่งขึ้น

API ยังช่วยให้ผู้คนเข้าถึงแอพพลิเคชั่นหลายตัวได้อย่างปลอดภัยด้วย เมื่อไม่นานมานี้ Telefonica เพิ่งผสานการทำงาน Workplace กับ Office 365 ด้วยการลงชื่อเข้าใช้แบบครั้งเดียว (SSO) เพื่อให้พนักงานลงชื่อเข้าใช้ Workplace ได้ง่ายขึ้นโดยใช้ข้อมูลประจำตัว SSO เดียวกันกับที่ใช้กับระบบอื่นๆ

นอกจากนี้ API ยังช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมต่อกับพนักงาน เช่น บุคลากรหน้างานที่ไม่มีอีเมลธุรกิจได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น พาร์ทเนอร์ Workplace อย่าง Azuronaut มีการใช้ API แบบไม่มีอีเมลที่สร้างขึ้นใหม่ในการสร้าง 'Mesh' ซึ่งเป็นเครื่องมือการจัดการบัญชีแบบไม่มีอีเมลสำหรับ Workplace ที่เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบตัวแรก

เปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็นชุมชน

ศักยภาพของ API ในการมอบวิธีการทำงานที่เชื่อมต่อถึงกันมากยิ่งขึ้นนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เรามาสำรวจกันต่อไปว่าจะสามารถเปิดใช้งาน API เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถเปลี่ยนบริษัทของตนให้กลายเป็นชุมชนได้อย่างไร