การทำงานทางไกล: ทำอย่างไรจึงจะได้ผลสำหรับคุณ
ใครๆ ต่างก็พูดถึงการทำงานทางไกลเนื่องจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสโคโรน่า แต่การทำงานรูปแบบนี้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ถ้าอย่างนั้น การทำงานแบบใดบ้างที่นับเป็นทางไกล และคุณจะทำอย่างไรให้วิธีการทำงานนี้เหมาะกับคุณ
ผู้คนจำนวนมากพบว่าการทำงานทางไกลกำลังค่อยๆ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของเรา และเราก็ชอบที่เป็นเช่นนั้น ผลจากแบบสำรวจฉบับหนึ่งพบว่าผู้คนจำนวน 65%1 ต้องการทำงานทางไกลเต็มเวลาเมื่อการระบาดใหญ่สิ้นสุดลง และเกือบสามในสี่ของบริษัทกล่าวว่าอย่างน้อยพนักงานบางส่วนยังคงต้องทำงานจากทางไกลอย่างเต็มรูปแบบหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
การทำงานทางไกลคืออะไร
การทำงานทางไกล คือการทำงานจากที่ใดก็ได้นอกเหนือสถานที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ร้านกาแฟ โคเวิร์กกิ้งสเปซ ห้องสมุด สวนสาธารณะ หรือจะทำที่ชายหาดก็ได้หากคุณโชคดี
ในระหว่างวิกฤตการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก พนักงานออฟฟิศทั่วโลกต้องนั่งทำงานหัวหมุนบนโต๊ะอาหาร โต๊ะรีดผ้า หรือพื้นที่เรียบๆ ที่สามารถหาได้ในบ้านหรืออพาร์ทเมนต์ของตนในทันทีทันใด แต่การทำงานทางไกลหรือทำงานจากที่บ้านเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน เพราะการทำงานทางไกลนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี
ขจัดปัญหาในที่ทำงานด้วย Workplace
ตั้งแต่การแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับการกลับสู่ที่ทำงาน ไปจนถึงการปรับใช้วิธีการทำงานแบบผสมผสาน Workplace ก็สามารถทำให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิมได้
คุณจะทำงานจากทางไกลได้อย่างไร
คำตอบขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใครและทำหน้าที่อะไร สำหรับบุคลากรหน้างานอย่างพนักงานขาย การทำงานทางไกลนั้นหมายถึงการทำงานนอกสถานที่ พนักงานเหล่านั้นจะเข้าสู่ระบบเมื่อต้องออกไปหน้างาน ไม่ว่าจะเป็นบนรถไฟ ในคาเฟ่ หรือในห้องพักของโรงแรม
สำหรับบางคน การทำงานทางไกลคืองานทั้งหมดที่ทำ โดยจากรายงานฉบับล่าสุดของ Gallup เรื่อง "สถานะของที่ทำงานสัญชาติอเมริกัน" กล่าวว่าเกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานในสหรัฐฯ ที่ทำงานทางไกลนั้นทำงานทางไกลเต็มเวลา
นอกจากนี้ก็ยังมีการเกิดขึ้นของบริษัทที่ทำงานทางไกลเต็มรูปแบบมากมาย บริษัทเหล่านี้ไม่มีสำนักงาน และเหล่าพนักงานก็ใช้เทคโนโลยีเพื่อติดต่อกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พนักงานที่ทำงานทางไกลประมาณ 30% ทำงานให้กับบริษัทที่ทำงานทางไกลเต็มรูปแบบ2 บริษัทเช่นนี้เป็นอะไรที่ห่างไกลมากที่สุดเท่าที่จะมากได้จากบริษัทแบบเดิมๆ ที่ต้องเดินทางไปทำงานเพื่อเจอกับโต๊ะทำงานที่วางเรียงเป็นแถวแล้ว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพนักงานที่ทำงานจากทางไกลต้องละทิ้งออฟฟิศไปโดยสิ้นเชิง พนักงานส่วนมากจะเข้าออฟฟิศเพื่อประชุมหรือพบปะสังสรรค์บ้าง หรือเข้าไปทำงานเพียงไม่กี่วันต่อสัปดาห์หรือต่อเดือน จำนวนวันที่เหมาะสมจะขึ้นกับแต่ละคน ตลอดจนนโยบายเกี่ยวกับการทำงานทางไกลและการทำงานแบบผสมผสานของบริษัท
การทำงานทางไกลมักถูกเชื่อมโยงกับการทำงานเพียงลำพัง แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป คุณสามารถใช้โฮมออฟฟิศร่วมกับคู่ครองหรือเพื่อนร่วมห้องของคุณ หรือทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ในโคเวิร์กกิ้งสเปซก็ได้ วิธีการทำงานทางไกลนั้นเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและองค์กรที่ทำงานให้ ซึ่งมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
การทำงานทางไกลจากที่บ้าน
การทำงานทางไกลถือเป็นอนาคตหรือไม่
ผู้คนหลายล้านคนได้ลิ้มรสชีวิตที่ปราศจากการเดินทางมาทำงานหรือการบินข้ามน้ำข้ามทะเลหลายพันกิโลเมตรเพื่อเข้าประชุมไปเสียแล้ว และดูเหมือนว่าการกลับไปทำงาน ‘ตามปกติ’ น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก
นับตั้งแต่เกิดการระบาด บริษัทหลายแห่งได้ประกาศให้พนักงานทำงานจากทางไกล และบริษัทอย่าง Dropbox3 และ Quora ยังได้ประกาศว่าจะใช้รูปแบบการทำงานทางไกลเป็นหลัก4
"ผมคิดว่านี่เป็นตัวเร่งชั้นดีสำหรับการเปลี่ยนไปสู่การทำงานทางไกลและการจัดการความสัมพันธ์แบบระยะไกลที่มากขึ้น" Sam Walters ผู้อำนวยการ - ผู้ให้บริการระดับมืออาชีพของบริษัทที่ปรึกษาจัดหางานมืออาชีพระดับโลก Robert Walters กล่าว
"สมดุลระหว่างการใช้ชีวิตกับการทำงาน และการทำงานอย่างยืดหยุ่นถือเป็นแนวคิดที่ได้รับการผลักดันให้โดดเด่น เนื่องจากคนยุคมิลเลนเนียลต่างเริ่มเข้าสู่วัยทำงานกันมากขึ้นแล้ว และด้วยการบังคับให้ปรับเปลี่ยนมาทำงานทางไกลอย่างแพร่หลาย เราจึงสามารถคาดหวังว่านโยบายที่ส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสมดุลจะกลายเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้คนวัยทำงานเกือบทุกคนนึกถึง"
แต่ไวรัสโคโรน่าอาจจะช่วยเร่งกระบวนการที่ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า การทำงานทางไกล ไม่ว่าจะเป็นจากที่ไหน ได้กลายเป็นเรื่องปกติและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าที่เคย เพราะเป็นสิ่งที่ผู้คนอยากจะทำ และมีเทคโนโลยีคอยรองรับให้เราทำงานได้ดีอีกด้วย
ผู้คนต่างคาดหวังให้มีการจัดเตรียมการทำงานทางไกลที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
ประโยชน์ของการทำงานจากที่บ้าน (หรือจากร้านกาแฟ หรือโคเวิร์กกิ้งสเปซ)
"การทำงานทางไกลไม่เพียงเพิ่มผลลัพธ์ของงานและภาพลักษณ์ของบริษัทที่พนักงานมี แต่ยังเป็นนโยบายที่เหล่าพนักงานฝีมือดีที่สุดถวิลหาด้วย" Gallup บริษัทให้คำปรึกษาด้านธุรกิจกล่าว5
และ Gallup ก็พูดถูกเสียด้วย นี่คือข้อดีบางส่วนของการทำงานทางไกลสำหรับพนักงานและนายจ้าง
ข้อดีของการทำงานทางไกลสำหรับพนักงาน
แม้ว่าการทำงานทางไกลจะไม่เหมาะสำหรับทุกคน แต่ก็ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากได้สัมผัสกับไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม และต่อไปนี้ก็คือข้อดีส่วนหนึ่งของการทำงานทางไกล
• สมดุลการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น
ชีวิตที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทางทำให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลมีเวลาว่างเพื่ออยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง ทำงานอดิเรก หรือดูโทรทัศน์ เพราะช่วงเวลาที่ได้เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นของคุณ
• มีการควบคุมมากขึ้น
การทำงานทางไกลไม่เพียงแต่ทำให้คุณเลือกสถานที่ทำงานได้เท่านั้น แต่ยังให้คุณเลือกวิธีการทำงานได้อีกด้วย คุณไม่จำเป็นต้องฟังเสียงคนอื่นพูดคุยกัน นั่งหนาวสั่นในห้องแอร์ที่เย็นเยือก หรือดื่มกาแฟชืดๆ จากเครื่องทำกาแฟของออฟฟิศอีกต่อไป เพราะคุณสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมการทำงานได้ด้วยตัวเอง
• สุขภาพที่ดีขึ้น
ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะเมื่อคุณไม่ต้องวุ่นวายกับการเดินทาง รับมือกับการเมืองในที่ทำงาน และการทำงานที่ขาดความยืดหยุ่น จากข้อมูลพบว่าพนักงาน 86% คิดว่าการทำงานทางไกลสามารถลดความเครียด6 และผู้คนจำนวน 77% กล่าวว่าการมีตัวเลือกให้ทำงานจากที่บ้านหลังจากโควิด-19 ทำให้ตนมีความสุขมากขึ้น7
• มีงานให้เลือกมากขึ้น
การทำงานทางไกลสามารถเปิดโลกแห่งโอกาสการทำงาน เพราะคุณไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ใกล้ออฟฟิศ คุณสามารถหาโอกาสการทำงานในต่างประเทศ หรือนำแล็ปท็อปของคุณไปทำงานในประเทศอื่นก็ได้หากนโยบายของบริษัทอนุญาตให้ทำ
• มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
หากกล่าวตามจริง การทำงานทางไกลและการทำงานที่ยืดหยุ่นนั้นไม่เหมือนกัน แต่การทำงานทางไกลมักให้ตัวเลือกเกี่ยวกับเวลาทำงานมากกว่า ดังนั้นการหยุดพักเพื่อไปดูการแสดงของลูกที่โรงเรียนหรือนำรถไปซ่อมจึงเรื่องที่ง่ายขึ้นอย่างมาก
ข้อดีของการทำงานทางไกลสำหรับนายจ้าง
สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพนักงานมักจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่พวกเขาทำงานให้ด้วยเช่นกัน และนี่คือข้อดี 8 ข้อที่องค์กรของคุณจะได้รับจากการทำงานทางไกล
• เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
การทำงานทางไกลสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในหลายๆ ตำแหน่งงานได้ การศึกษาที่มีชื่อเสียงโด่งดังของ Stanford University เผยว่า ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานคอลเซ็นเตอร์ในบริษัทเอเจนซี่การท่องเที่ยวของจีนแห่งหนึ่งเพิ่มขึ้น 13% เมื่อทำงานจากที่บ้าน และการวิจัยเมื่อปี 2018 แสดงให้เห็นว่า การทำงานทางไกลมีผลกระทบเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้ที่งานมีความซับซ้อนซึ่งไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นมากนัก
• ทำให้ธุรกิจไม่หยุดชะงัก
การระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสโคโรน่าเผยให้เห็นความสำคัญของความสามารถในการทำงานทางไกล หากพนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านหรือที่อื่นๆ ได้ ธุรกิจก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้แม้ว่าจะเกิดเหตุอะไรกับสำนักงาน หรือหากพนักงานไม่สามารถมาทำงานได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม
• ดึงดูดผู้มีความสามารถ
เนื่องจากคนวัยทำงาน 50% ต่างมีโอกาสได้ทำงานทางไกลกันอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน ดังนั้น องค์กรใดที่ไม่หยิบเรื่องนี้มาเป็นตัวเลือกให้ผู้สมัครงานก็อาจจะถือได้ว่าปรับตัวไม่ทัน องค์กรที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้ทำงานทางไกลเลยอาจเสียพนักงานให้กับองค์กรอื่นที่ทำเช่นนั้น เนื่องจาก 54% ของพนักงานออฟฟิศกล่าวว่าตนจะลาออกไปทำงานที่มีเวลาทำงานยืดหยุ่น
• สร้างสมดุลการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น
การทำงานทางไกลนั้นข้องเกี่ยวกับการทำงานแบบยืดหยุ่นชนิดที่เรียกได้ว่าแยกจากกันไม่ออก แม้ว่าผู้คนจะไม่ได้มีตัวเลือกด้านชั่วโมงการทำงานมากนัก แต่การไม่ต้องออกเดินทางไปทำงานก็ชดเชยเวลาส่วนนั้นกลับคืนมาให้แล้ว ซึ่งความยืดหยุ่นเช่นนี้นี่เองที่ดึงดูดใจคนยุคมิลเลนเนียลเป็นพิเศษ
การวิจัยแสดงให้เห็นว่า การมอบตัวเลือกให้ทำงานจากที่บ้านได้นั้นเป็นสิ่งที่คนช่วงวัยนี้ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ8 และนั่นหมายความว่า บริษัทที่อยากจะดึงดูดคนช่วงวัยนี้ต้องให้ความสำคัญกับตัวเลือกนี้เป็นลำดับต้นๆ เช่นกัน
• ปกป้องสิ่งแวดล้อม
การขนส่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษจากก๊าซคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และการเดินทางเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางหรือการนั่งเครื่องบินเพื่อเข้าประชุม ต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยมลพิษด้วยกันทั้งนั้น
การทำงานทางไกลเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการลดรอยเท้าคาร์บอนของบริษัท เพราะพนักงานไม่ต้องเดินทางและเปลี่ยนมาใช้การประชุมทางวิดีโอแทน ตัวอย่างเช่น นโยบายของสำนักสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกาที่อนุญาตให้ผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรทำงานจากที่ใดก็ได้ ได้ลดการปล่อยมลพิษไปเป็นปริมาตรประมาณ 44,000 ตัน
• ขยายกลุ่มผู้สมัครที่มีศักยภาพ
องค์กรที่กำลังจะว่าจ้างพนักงานโดยต้องการให้พนักงานนั้นทำงานประจำที่ตลอดเวลาอาจประสบปัญหาด้านตัวเลือกผู้สมัครที่มีจำกัดได้ หรือการที่บริษัทตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าเช่าที่อยู่อาศัยสูงลิ่วก็อาจเป็นข้อจำกัดได้เช่นกัน
แต่หากคุณว่าจ้างพนักงานให้ทำงานทางไกลโดยไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน หรือไม่ต้องเข้าบริษัทเลย คุณก็จะสามารถจ้างพนักงานได้จากเกือบทุกที่ พนักงานสามารถทำงานได้จากทุกมุมโลก หรือแม้แต่จากต่างประเทศ ภูมิศาสตร์ไม่ใช่ข้อจำกัดของการใช้ประโยชน์จากผู้มีศักยภาพและการสร้างแรงงานที่หลากหลายอย่างแท้จริง
• เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน
พนักงานที่ทำงานทางไกลจะมีส่วนร่วมในระดับสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ทำงานทางไกล และยังมีความสุขกว่าด้วย โดยพนักงานที่ทำงานทางไกลเต็มเวลากล่าวว่าตนมีความสุขกับการทำงานมากกว่าถึง 22% เมื่อเทียบกับพนักงานที่ไม่เคยทำงานทางไกล ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยถ้าพนักงานเหล่านี้จะรู้สึกภักดีกับบริษัทมากกว่าด้วย พนักงานที่ทำงานทางไกลกล่าวว่า ตนมีแนวโน้มที่จะทำงานเดิมต่อไปในอีกห้าปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าพนักงานที่ทำงานประจำถึง 13%9 เมื่อคิดคำนวณค่าใช้จ่ายในการสรรหาว่าจ้างแล้ว การทำงานทางไกลจึงกลายเป็นตัวเลือกที่บริษัทต่างๆ มองข้ามไม่ได้อีกต่อไป
• ลดค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์
ค่าเช่าออฟฟิศถือเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลที่บริษัทต้องแบกรับ แต่ยิ่งทีมต่างๆ ทำงานทางไกลกันมากเท่าไร บริษัทก็จะยิ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายนี้ลงได้มากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น สำนักสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกาสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านออฟฟิศลงได้ 38.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้
คุณจะสร้างนโยบายการทำงานทางไกลที่ดีที่สุดได้อย่างไร
การทำงานทางไกลมีข้อเสียอย่างไรบ้าง
แม้ว่าพนักงานหลายคนอยากจะทำงานทางไกล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพนักงานและบริษัทด้วยเช่นกัน แต่นั่นอาจมีข้อเสียอยู่บ้าง การเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของอุปสรรคจะช่วยให้คุณหาทางแก้ไขปัญหานั้นได้
การสื่อสาร
การวิจัยฉบับหนึ่งเผยว่า 27% ของพนักงานที่ทำงานทางไกลยกให้การสื่อสารเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่ง10 เพราะเมื่อคุณไม่ได้ทำงานอยู่ในห้องเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานและไม่ได้เจอกันตัวต่อตัว การสื่อสารกันก็อาจเป็นไปได้ยาก การถูกแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์เองก็ทำให้พนักงานที่ทำงานทางไกลอาจรู้สึกเหมือนไม่เป็นส่วนหนึ่งในวงข่าวสารความเป็นไปขององค์กรได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ดังนั้น เครื่องมือเพื่อการสื่อสารจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อทำลายกำแพงเหล่านี้ วิดีโอคอลและการประชุมทางวิดีโอ รวมถึงการส่งข้อความด่วนและแชทกลุ่มที่มีประสิทธิภาพจะมอบทางเลือกด้านช่องทางการสื่อสารให้แก่พนักงาน แต่เครื่องมือเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นทางการ และไม่ได้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าทั้งหมด การสื่อสารสามารถพัฒนาไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นช่องทางที่เป็นธรรมชาติเหมือนว่าทุกคนนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ กัน
ความอ้างว้างและความโดดเดี่ยว
สิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่พนักงานทำงานทางไกลประสบ โดยพนักงาน 19% บอกว่าตนมีปัญหากับเรื่องนี้11 และยังเป็นปัญหาสำหรับองค์กรอีกด้วย เนื่องจากความเหงาจะส่งผลต่อระดับการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการทำงาน
การทำงานทางไกลต้องไม่ทำให้พนักงานรู้สึกถูกตัดขาดจากองค์และเพื่อนร่วมงานจึงจะประสบความสำเร็จ การติดต่อกันทุกวัน การประชุมออนไลน์ และการส่งข้อความด่วนถึงกัน สามารถทดแทนการพบปะพูดคุยในสำนักงานได้ บริษัทสามารถนำเครื่องมือเพื่อการทำงานร่วมกันมาใช้เพื่อสร้างพื้นที่ทางสังคมซึ่งพนักงานสามารถรวมกลุ่มเฮฮากันได้
สิ่งรบกวนและการไม่มีขอบเขต
หลายๆ คนทำงานจากที่บ้านเพราะอยากได้เวลาที่จะใช้ไปกับงานอดิเรกหรือครอบครัวมากขึ้น ทว่าการไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตที่บ้านอาจทำให้เกิดการไขว้เขว เช่น การรบกวนจากเด็กๆ หรือการทำงานบ้านในเวลางาน
แต่แน่นอนว่าในออฟฟิศก็อาจมีสิ่งรบกวนได้เหมือนกัน การศึกษาฉบับหนึ่งเผยว่าสิ่งรบกวนที่บ้านจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้ระหว่าง 15% ถึง 27% ในขณะที่สิ่งรบกวนในออฟฟิศจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้ระหว่าง 20% ถึง 35%12 ถึงแม้ว่าการกำจัดสิ่งรบกวนออกไปอย่างหมดจดจะเป็นไปไม่ได้ แต่การจัดสถานที่ทำงานในบ้านให้เหมาะสมสามารถช่วยได้
ดูคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานที่บ้านกับชีวิตส่วนตัว
รู้ว่าต้องหยุดเมื่อใด
สำหรับพนักงานที่ทำงานทางไกล การรู้ตัวว่าต้องปิดเครื่องและหยุดทำงานเมื่อใดเป็นเรื่องยาก ทำให้การทำงานเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ในการศึกษาฉบับหนึ่งเผยว่าพนักงานที่ทำงานทางไกลจำนวน 39% ทำงานนานกว่าเวลางานที่ควรจะเป็น13
การทำงานแบบ "พร้อมเสมอ" อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการทำงานได้ ดังนั้น ผู้จัดการควรแจ้งชั่วโมงการทำงานที่พนักงานต้องทำให้ชัดเจน และพนักงานต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์
องค์กรของคุณสามารถคงความคิดสร้างสรรค์ในขณะที่พนักงานทำงานทางไกลได้หรือไม่ เมื่อนักวิจัยสอบถามนักการตลาดในองค์กรขนาดใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้ 61% ของนักการตลาดเผยว่าเรื่องนี้อาจเป็นความท้าทายที่สำคัญ14 แต่การวิจัยบางฉบับแสดงให้เห็นว่าการทำงานทางไกลอาจส่งผลเชิงบวกต่องานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ หากบริษัทของคุณมีวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ที่ทำให้คุณรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนให้แสดงแนวคิดโดยมีเทคโนโลยีรองรับ คุณก็สามารถสร้างสรรค์ได้ไม่ว่าจะทำงานจากที่ใดก็ตาม
ขาดโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
แม้แต่ผู้ที่สนับสนุนการทำงานทางไกลที่ขะมักเขม้นที่สุดก็อาจเห็นด้วยว่าสิ่งนี้อาจทำให้พนักงานพลาดความสนุกสนานของการทำงาน ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้พบปะกัน คุณควรคว้าโอกาสนั้นไว้ แต่เมื่อไม่มีโอกาสได้พบปะกันเลย การจินตนาการเล็กๆ น้อยๆ และเครื่องมือสื่อสารที่ดีก็จะช่วยถมช่องว่างนี้ให้เต็มได้ อย่างเช่น ช่วงพักดื่มกาแฟ การดื่มสังสรรค์ การเล่นคำทายปริศนา การพูดคุย และการแบ่งปันเรื่องขำขันทางออนไลน์สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานทางไกลได้เสมอ
สุดยอดเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อที่ช่วยให้การทำงานทางไกลไปได้สวย
7 สุดยอดเคล็ดลับสำหรับการทำงานทางไกล
การทำงานทางไกลครั้งแรกอาจเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ พนักงานที่ทำงานทางไกลผู้มากประสบการณ์หลายคนรู้ดีว่าการมีพื้นที่ทำงานและแนวคิดที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นสำคัญอย่างไร นี่คือเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อที่ทำให้การทำงานทางไกลไปได้สวย
1. หาพื้นที่เหมาะๆ
ไม่ว่าจะเป็นสักห้องหนึ่งในบ้าน เวิร์กสเปซ หรือร้านกาแฟร้านโปรด สิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานทางไกลคือสภาพแวดล้อม ต้องแน่ใจว่าอุณหภูมิและเสียงอยู่ในระดับพอเหมาะ คุณมีพื้นที่มากพอสำหรับอุปกรณ์การทำงาน และเป็นที่ที่คุณจะไม่ถูกรบกวนได้ง่ายๆ มองหาพื้นที่ที่มีแสงธรรมชาติเพื่อทำให้คุณรู้สึกมีพลัง
ลองดูเคล็ดลับสำหรับการจัดสถานที่ทำงานในบ้านของคุณ
2. ตั้งกำหนดเวลา
การทำงานทางไกลมักเป็นการทำงานที่ยืดหยุ่นมากกว่า ดังนั้นคุณจึงอาจมีทางเลือกเกี่ยวกับเวลาทำงานมากขึ้น แม้ความยืดหยุ่นจะเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณอาจพบว่าการไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนจะเบียดเบียนเวลาสำหรับด้านอื่นๆ ในชีวิต ซึ่งส่งผลให้เกิดความเครียดได้ ดังนั้น การกำหนดเวลาทำงานและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. แต่งองค์ทรงเครื่อง
เราไม่ได้ล้อเล่น การทำงานในชุดนอนอาจฟังดูน่าสนใจ แต่นั่นจะทำให้คุณไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย และยังดูไม่จืดด้วยเวลาที่คุณต้องวิดีโอคอล เสื้อผ้าสามารถส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกได้ ดังนั้น จงสวมใส่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกมีแรงจูงใจ เป็นมืออาชีพ และมั่นอกมั่นใจ การแต่งตัวเพื่อทำงานยังช่วยคุณตีเส้นแบ่งเขตความแตกต่างระหว่างการทำงานและการอยู่บ้านได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณหยุดการทำงานได้เมื่อสิ้นสุดเวลางาน
4. กำหนดช่วงพัก
พนักงานที่ทำงานทางไกลอาจรู้สึกเหมือนต้องนั่งจ้องหน้าจอตลอดวันเนื่องจากไม่มีช่วงพักกลางวันหรือพักดื่มกาแฟที่แน่นอน การพักเบรกช่วยคืนความกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะหากคุณสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ ดังนั้น กำหนดเวลาพักให้ตัวเอง และอย่าลืมเดินเป็นระยะอย่างน้อยหนึ่งบล็อกทุกวัน แต่ถ้าออกไปไหนไม่ได้ ก็ลองทำกิจกรรมในร่มดูบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นลงบันได ออกกำลังกายตามวิดีโอ หรือยืดเส้นยืดสายเพื่อเติมพลังให้ตัวเองและขจัดความตึงเครียด
5. สื่อสาร สื่อสาร สื่อสาร
การทำงานทางไกลต้องใช้การสื่อสารมากกว่าปกติ ไม่ใช่น้อยกว่า ใช้การส่งข้อความด่วนและแชทกลุ่มเพื่อรับทราบข่าวสารจากเพื่อนร่วมงานและโปรเจ็กต์อยู่เสมอ ใช้วิดีโอคอลเมื่อประชุม และที่สำคัญที่สุด รายงานตัวกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า
แม้ว่าคุณจะรู้สึกเขินอาย แต่ขอให้พยายามมีส่วนร่วมกับการสนทนาเข้าไว้ หลายๆ คนอาจจะรู้สึกเหมือนกัน แต่การร่วมวงสนทนาเจ๊าะแจ๊ะทางออนไลน์อาจบรรเทาความรู้สึกจากความเหงาหงอยได้อยู่บ้าง
6. ปรับปรุงสไตล์การสื่อสารของคุณ
เมื่อคุณไม่ได้พูดคุยกันต่อหน้า ภาษากายและน้ำเสียงจึงเป็นสิ่งที่ขาดหายไป ด้วยเหตุนี้ การสื่อสารจึงต้องชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อทำงานทางไกล ตรวจทานข้อความของคุณเพื่อดูว่าข้อความนั้นชัดเจนและกระชับ เพื่อให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคุณต้องการสื่ออะไร
7. ขอความช่วยเหลือ
ผู้ที่ทำงานเพียงลำพังอาจพบว่าตัวเองต้องทนแบกภาระงานยากๆ อยู่เสมอ แม้ว่าต้องการความช่วยเหลือ อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อต้องการ และที่จริงนั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ สำหรับผู้จัดการแล้ว การทักไปถามไถ่เป็นประจำพร้อมเสนอตัวช่วยเหลือก่อนที่ใครจะร้องขอถือเป็นสิ่งสำคัญ
เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ
รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน
เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย คุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว
สิ่งที่คุณอาจสนใจ
โพสต์ล่าสุด
การสื่อสารทางธุรกิจ | ใช้เวลาอ่าน 9 นาที
อธิบายการสื่อสารทางธุรกิจ
ธุรกิจของคุณขึ้นอยู่กับการแชร์ข้อมูลอย่างประสบความสำเร็จ และขึ้นอยู่กับพนักงานของคุณด้วย ถึงกระนั้น 66% ของบริษัทก็ยังคงขาดแผนระยะยาวสำหรับการสื่อสารทางธุรกิจอยู่ดี แล้วทำไมสิ่งนี้จึงถือเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง อะไรคืออุปสรรคสำหรับการสื่อสารที่พบอยู่บ่อยครั้ง และคุณจะหลีกเลี่ยงอุปสรรคนั้นได้อย่างไร