การทำงานจากทางไกล: ทำอย่างไรจึงจะได้ผลสำหรับคุณ
การทำงานจากทางไกลยังคงอยู่กับเราอีกนาน แต่มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง แล้วองค์กรและพนักงานจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร นี่คือทุกสิ่งที่คุณต้องรู้
สำหรับพนักงานหลายคน การระบาดใหญ่ทั่วโลกถือเป็นประสบการณ์ในการทำงานจากทางไกลครั้งแรก แต่เทรนด์นี้ยังคงมีอยู่ต่อไป ในปี 2022 แรงงานในสหรัฐฯ ประมาณ 27% ทำงานจากทางไกลในช่วงเวลาหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่จากการวิจัยพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนเกือบถึง 50% แล้ว
บริษัทบางแห่งส่งเสริมให้พนักงานกลับไปทำงานที่สำนักงาน ในขณะที่บริษัทอื่นๆ เพิ่มอัตราการทำงานจากทางไกลเป็นสองเท่า ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม นายจ้างและพนักงานควรตระหนักถึงข้อดีและข้อเสียของการทำงานจากทางไกล และวิธีทำให้ประสบความสำเร็จ
การทำงานจากทางไกลคืออะไร
การทำงานจากทางไกล คือการทำงานจากที่ใดก็ได้นอกสถานที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ร้านกาแฟ โคเวิร์กกิ้งสเปซ ห้องสมุด สวนสาธารณะ ชายหาด หรือแม้แต่ต่างประเทศก็ทำได้
แก้งานยุ่งได้ไม่ยากด้วย Workplace
ไม่ว่าคุณจะต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับการกลับสู่ที่ทำงาน หรือนำวิธีการทำงานแบบผสมผสานไปปรับใช้ Workplace ก็สามารถทำให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้
วิธีทำงานจากทางไกล
วิธีการทำงานจากทางไกลของคุณนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใครและทำอะไร สำหรับบุคลากรหน้างาน เช่น พนักงานขาย การทำงานจากทางไกลนั้นหมายถึงการทำงานนอกสถานที่ พนักงานเหล่านั้นจะเข้าสู่ระบบเมื่อต้องออกไปหน้างาน ไม่ว่าจะเป็นบนรถไฟ ร้านกาแฟ หรือในห้องพักของโรงแรม
สำหรับบางคน การทำงานจากทางไกลคือรูปแบบการทำงานเดียวที่พวกเขาทำ โดยในปี 2023 พนักงานประจำจำนวน 12.7% ทำงานจากที่บ้าน
การเติบโตของงานจากทางไกลมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของบริษัทที่ทำงานจากทางไกลเต็มรูปแบบ บริษัทเหล่านี้ไม่มีสำนักงาน และเหล่าพนักงานก็ใช้เทคโนโลยีเพื่อติดต่อกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ บริษัทในสหรัฐฯ ประมาณ 16% ทำงานจากทางไกลเต็มรูปแบบ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพนักงานที่ทำงานจากทางไกลต้องละทิ้งออฟฟิศไปโดยสิ้นเชิง พนักงานส่วนมากจะเข้าออฟฟิศเพื่อประชุมหรือพบปะสังสรรค์บ้าง หรือเข้าไปทำงานเพียงไม่กี่วันต่อสัปดาห์หรือต่อเดือน จำนวนวันที่เหมาะสมจะขึ้นกับแต่ละคน ตลอดจนนโยบายเกี่ยวกับการทำงานทางไกลและการทำงานแบบผสมผสานของบริษัท
การทำงานทางไกลมักถูกเชื่อมโยงกับการทำงานเพียงลำพัง แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป คุณสามารถใช้โฮมออฟฟิศร่วมกับคู่ครองหรือเพื่อนร่วมห้องของคุณ หรือทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ในโคเวิร์กกิ้งสเปซก็ได้ วิธีการทำงานจากทางไกลนั้นเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและองค์กรที่ทำงานให้ ซึ่งมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ประโยชน์ของการทำงานจากทางไกล
"การทำงานจากทางไกลไม่เพียงเพิ่มผลลัพธ์ของงานและภาพลักษณ์ของบริษัทที่พนักงานมี แต่ยังเป็นนโยบายที่เหล่าพนักงานฝีมือดีที่สุดถวิลหาด้วย" Gallup บริษัทให้คำปรึกษาด้านธุรกิจกล่าว
และก็พูดถูกเสียด้วย นี่คือข้อดีบางส่วนของการทำงานทางไกลสำหรับพนักงานและนายจ้าง
ข้อดีของการทำงานจากทางไกล (สำหรับพนักงาน)
สมดุลการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดีกว่า
ชีวิตที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทางทำให้พนักงานที่ทำงานจากทางไกลมีเวลาว่างเพื่ออยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง ทำงานอดิเรก หรือดูโทรทัศน์ เพราะช่วงเวลาที่ได้เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นของคุณ
มีการควบคุมมากขึ้น
การทำงานจากทางไกลไม่เพียงแต่ทำให้คุณเลือกสถานที่ทำงานได้เท่านั้น แต่ยังให้คุณเลือกวิธีการทำงานได้อีกด้วย คุณไม่จำเป็นต้องฟังเสียงคนอื่นพูดคุยกัน นั่งหนาวสั่นในห้องแอร์ที่เย็นเยือก หรือดื่มกาแฟชืดๆ จากเครื่องทำกาแฟของออฟฟิศอีกต่อไป เพราะคุณสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมการทำงานได้ด้วยตัวเอง
มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะเมื่อคุณไม่ต้องวุ่นวายกับการเดินทาง รับมือกับการเมืองในที่ทำงาน และการทำงานที่ขาดความยืดหยุ่น จากข้อมูลพบว่าพนักงาน 86% คิดว่าการทำงานจากทางไกลสามารถลดความเครียด และผู้คนจำนวน 77% กล่าวว่าการมีตัวเลือกให้ทำงานจากที่บ้านหลังจากโควิด-19 ทำให้ตนมีความสุขมากขึ้น
มีงานให้เลือกมากขึ้น
การทำงานจากทางไกลสามารถเปิดโลกแห่งโอกาสการทำงาน เพราะคุณไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ใกล้ออฟฟิศ คุณสามารถหาโอกาสการทำงานในต่างประเทศ หรือนำแล็ปท็อปของคุณไปทำงานในประเทศอื่นก็ได้หากนโยบายของบริษัทอนุญาตให้ทำ
มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
หากกล่าวตามจริง การทำงานจากทางไกลและการทำงานที่ยืดหยุ่นนั้นไม่เหมือนกัน แต่การทำงานจากทางไกลมักให้ตัวเลือกเกี่ยวกับเวลาทำงานมากกว่า ดังนั้นการหยุดพักเพื่อไปดูการแสดงของลูกที่โรงเรียนหรือนำรถไปซ่อมจึงเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นอย่างมาก
ข้อดีของการทำงานจากทางไกล (สำหรับนายจ้าง)
สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพนักงานมักจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่พวกเขาทำงานให้ด้วยเช่นกัน และนี่คือข้อดี 8 ข้อที่องค์กรของคุณจะได้รับจากการทำงานจากทางไกล
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
การทำงานจากทางไกลสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในหลายๆ ตำแหน่งงานได้ เนื่องจากมีสิ่งรบกวนน้อยลง การศึกษาโดย Stanford University พบว่า พนักงานที่ทำงานจากทางไกลมีผลิตภาพมากกว่าพนักงานที่ทำงานในออฟฟิศ 9%
ดึงดูดผู้ที่มีความสามารถ
ปัจจุบัน ผู้คนต้องการให้การทำงานจากทางไกลเป็นทางเลือกสำหรับตน 98% ของพนักงานต้องการทำงานจากทางไกลอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง และเป็นสิทธิประโยชน์ที่ผู้คนต้องการเมื่อค้นหางานใหม่
การทำให้การทำงานจากทางไกลเป็นสิทธิประโยชน์ในองค์กรของคุณ ทำให้คุณสามารถดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถไว้ได้ นอกจากนี้ยังทำให้คุณสามารถขยายกลุ่มผู้มีความสามารถเพื่อให้มีผู้สมัครในวงกว้างได้ หากคุณว่าจ้างพนักงานให้ทำงานจากทางไกลโดยไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน หรือไม่ต้องเข้าบริษัทเลย คุณก็จะสามารถจ้างพนักงานได้จากเกือบทุกที่ พนักงานสามารถทำงานได้จากทุกที่ หรือแม้แต่จากต่างประเทศ ภูมิศาสตร์ไม่ใช่ข้อจำกัดของการใช้ประโยชน์จากผู้มีศักยภาพและการสร้างแรงงานที่หลากหลายอย่างแท้จริง
สร้างสมดุลการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น
การทำงานจากทางไกลนั้นข้องเกี่ยวกับการทำงานแบบยืดหยุ่นชนิดที่เรียกได้ว่าแยกจากกันไม่ออก แม้ว่าผู้คนจะไม่ได้มีตัวเลือกด้านชั่วโมงการทำงานมากนัก แต่การไม่ต้องออกเดินทางไปทำงานก็ชดเชยเวลาส่วนนั้นกลับคืนมาให้แล้ว ความยืดหยุ่นนี้ดึงดูดความสนใจจากคนยุค Gen Z และคนยุคมิลเลนเนียลเป็นพิเศษ
การสำรวจของ Deloitte พบว่าคนยุคมิลเลนเนียลและ Gen Z จัดลำดับความสำคัญของการทำงานใหม่ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น และนั่นหมายความว่า บริษัทที่อยากจะดึงดูดคนช่วงวัยนี้ต้องให้ความสำคัญกับตัวเลือกนี้เป็นลำดับต้นๆ เช่นกัน
ปกป้องสิ่งแวดล้อม
การขนส่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษจากก๊าซคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และการเดินทางเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางหรือการนั่งเครื่องบินเพื่อเข้าประชุม ต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยมลพิษด้วยกันทั้งนั้น
การทำงานทางไกลเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการลดรอยเท้าคาร์บอนของบริษัท เพราะพนักงานไม่ต้องเดินทางและเปลี่ยนมาใช้การประชุมทางวิดีโอแทน ตัวอย่างเช่น นโยบายของสำนักสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกาที่อนุญาตให้ผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรทำงานจากที่ใดก็ได้ ช่วยลดการปล่อยมลพิษไปประมาณ 44,000 ตัน
เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน
พนักงานที่ทำงานจากทางไกลจะมีส่วนร่วมในระดับสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ทำงานจากทางไกล และยังมีความสุขกว่าด้วย โดยพนักงานที่ทำงานจากทางไกลเต็มเวลากล่าวว่าตนมีความสุขกับการทำงานมากกว่าถึง 22% เมื่อเทียบกับพนักงานที่ไม่เคยทำงานทางไกล ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยถ้าพนักงานเหล่านี้จะรู้สึกภักดีกับบริษัทมากกว่าด้วย พนักงานที่ทำงานจากทางไกลกล่าวว่า ตนมีแนวโน้มที่จะทำงานเดิมต่อไปในอีกห้าปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าพนักงานที่ทำงานในสำนักงานถึง 13% เมื่อคิดคำนวณค่าใช้จ่ายในการสรรหาว่าจ้างแล้ว การทำงานจากทางไกลจึงกลายเป็นตัวเลือกที่บริษัทต่างๆ มองข้ามไม่ได้อีกต่อไป
ลดค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์
ค่าออฟฟิศถือเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลที่บริษัทต้องแบกรับ แต่ยิ่งทีมต่างๆ ทำงานทางไกลกันมากเท่าไร บริษัทก็จะยิ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายนี้ลงได้มากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น สำนักสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกาสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านออฟฟิศลงได้ 38.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้
ข้อเสียของการทำงานจากทางไกลมีอะไรบ้าง
แม้ว่าพนักงานหลายคนอยากจะทำงานจากทางไกล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพนักงานและบริษัทด้วยเช่นกัน แต่นั่นอาจมีข้อเสียอยู่บ้าง การเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของอุปสรรคจะช่วยให้คุณหาทางแก้ไขปัญหานั้นได้
การสื่อสาร
เพราะเมื่อคุณไม่ได้ทำงานอยู่ในห้องเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานและไม่ได้เจอกันตัวต่อตัว การสื่อสารถึงกันก็อาจเป็นไปได้ยาก การถูกแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์เองก็ทำให้พนักงานที่ทำงานทางไกลอาจรู้สึกเหมือนไม่เป็นส่วนหนึ่งในวงข่าวสารความเป็นไปขององค์กรได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ดังนั้น เครื่องมือเพื่อการสื่อสารจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อทำลายกำแพงเหล่านี้ วิดีโอคอลและการประชุมทางวิดีโอ รวมถึงการส่งข้อความด่วนและแชทกลุ่มที่มีประสิทธิภาพจะมอบทางเลือกด้านช่องทางการสื่อสารให้แก่พนักงาน แต่เครื่องมือเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นทางการ และไม่ได้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าทั้งหมด การผสมผสานเทคโนโลยี VR เข้าไปด้วยก็สามารถทำให้การสื่อสารมีความเป็นธรรมชาติราวกับว่าทุกคนอยู่โต๊ะทำงานข้างๆ กัน
ความอ้างว้างและความโดดเดี่ยว
การไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวกับเพื่อนร่วมงานสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งอาจส่งผลต่อการมีส่วนร่วมและผลิตภาพ
การทำงานทางไกลต้องไม่ทำให้พนักงานรู้สึกถูกตัดขาดจากองค์และเพื่อนร่วมงานจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ การติดต่อกันทุกวัน การประชุมออนไลน์ และการส่งข้อความด่วนถึงกัน สามารถทดแทนการพบปะพูดคุยในสำนักงานได้ บริษัทสามารถนำเครื่องมือเพื่อการทำงานร่วมกันมาใช้เพื่อสร้างพื้นที่ทางสังคมซึ่งพนักงานสามารถรวมกลุ่มเฮฮากันได้
สิ่งรบกวนและการไม่มีขอบเขต
หลายๆ คนทำงานจากที่บ้านเพราะอยากได้เวลาที่จะใช้ไปกับงานอดิเรกหรือครอบครัวมากขึ้น ทว่าการไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตที่บ้านอาจทำให้เกิดการไขว้เขว เช่น การรบกวนจากเด็กๆ หรือการทำงานบ้านในเวลางาน
แต่แน่นอนว่าในออฟฟิศก็อาจมีสิ่งรบกวนได้เหมือนกัน การศึกษาฉบับหนึ่งเผยว่าสิ่งรบกวนที่บ้านจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้ระหว่าง 15% ถึง 27% ในขณะที่สิ่งรบกวนในออฟฟิศจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้ระหว่าง 20% ถึง 35% ถึงแม้ว่าการกำจัดสิ่งรบกวนออกไปอย่างหมดจดจะเป็นไปไม่ได้ แต่การจัดสถานที่ทำงานในบ้านให้เหมาะสมสามารถช่วยได้
ดูคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานจากที่บ้านกับชีวิตส่วนตัว
รู้ว่าต้องหยุดเมื่อใด
สำหรับพนักงานที่ทำงานจากทางไกล การรู้ตัวว่าต้องปิดเครื่องและหยุดทำงานเมื่อใดเป็นเรื่องยาก ทำให้การทำงานเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก พนักงานชาวอังกฤษใช้เวลาทำงานที่บ้านนานกว่าช่วงหลังการระบาดใหญ่
การทำงานแบบ "พร้อมเสมอ" อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการทำงานได้ ดังนั้น ผู้จัดการควรแจ้งชั่วโมงการทำงานที่พนักงานต้องทำให้ชัดเจน และพนักงานต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ขาดโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
แม้แต่ผู้ที่สนับสนุนการทำงานทางไกลที่ขะมักเขม้นที่สุดก็อาจเห็นด้วยว่าสิ่งนี้อาจทำให้พนักงานพลาดความสนุกสนานของการทำงาน ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้พบปะกัน คุณควรคว้าโอกาสนั้นไว้ แต่เมื่อไม่มีโอกาสได้พบปะกันเลย การจินตนาการเล็กๆ น้อยๆ และเครื่องมือสื่อสารที่ดีก็จะช่วยถมช่องว่างนี้ให้เต็มได้ อย่างเช่น ช่วงพักดื่มกาแฟ การดื่มสังสรรค์ การเล่นคำทายปริศนา การพูดคุย และการแบ่งปันเรื่องขำขันและมีมสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานจากทางไกลได้เสมอ
เคล็ดลับ 7 ข้อเพื่อการทำงานจากทางไกลที่ประสบความสำเร็จ
การทำงานจากทางไกลครั้งแรกอาจเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ พนักงานที่ทำงานจากทางไกลผู้มากประสบการณ์หลายคนรู้ดีว่าการมีพื้นที่ทำงานและแนวคิดที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นสำคัญอย่างไร นี่คือเคล็ดลับ 7 ข้อที่ช่วยให้การทำงานจากทางไกลประสบความสำเร็จ
1. หาพื้นที่เหมาะๆ
ไม่ว่าจะเป็นสักห้องหนึ่งในบ้าน เวิร์กสเปซ หรือร้านกาแฟร้านโปรด สิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานทางไกลคือสภาพแวดล้อม ต้องแน่ใจว่าอุณหภูมิและเสียงอยู่ในระดับพอเหมาะ คุณมีพื้นที่มากพอสำหรับอุปกรณ์การทำงาน และเป็นที่ที่คุณจะไม่ถูกรบกวนได้ง่ายๆ มองหาพื้นที่ที่มีแสงธรรมชาติเพื่อทำให้คุณรู้สึกมีพลัง
ลองดูเคล็ดลับสำหรับการจัดสถานที่ทำงานในบ้านของคุณ
2. กำหนดเวลา
การทำงานจากทางไกลมักเป็นการทำงานที่ยืดหยุ่นมากกว่า ดังนั้นคุณจึงอาจมีทางเลือกเกี่ยวกับเวลาทำงานมากขึ้น แม้ความยืดหยุ่นจะเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณอาจพบว่าการไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนจะเบียดเบียนเวลาสำหรับด้านอื่นๆ ในชีวิต ซึ่งส่งผลให้เกิดความเครียดได้ ดังนั้น การกำหนดเวลาทำงานและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. แต่งองค์ทรงเครื่อง
เราไม่ได้ล้อเล่น การทำงานในชุดนอนอาจฟังดูน่าสนใจ แต่นั่นจะทำให้คุณไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย และยังดูไม่จืดด้วยเวลาที่คุณต้องวิดีโอคอล เสื้อผ้าสามารถส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกได้ ดังนั้น จงสวมใส่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกมีแรงจูงใจ เป็นมืออาชีพ และมั่นอกมั่นใจ การแต่งตัวเพื่อทำงานยังช่วยคุณตีเส้นแบ่งเขตความแตกต่างระหว่างการทำงานและการอยู่บ้านได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณหยุดการทำงานได้เมื่อสิ้นสุดเวลางาน
4. กำหนดช่วงพัก
พนักงานที่ทำงานทางไกลอาจรู้สึกเหมือนต้องนั่งจ้องหน้าจอตลอดวันเนื่องจากไม่มีช่วงพักกลางวันหรือพักดื่มกาแฟที่แน่นอน การพักเบรกช่วยคืนความกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะหากคุณสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ ดังนั้น กำหนดเวลาพักให้ตัวเอง และอย่าลืมเดินเป็นระยะอย่างน้อยหนึ่งบล็อกทุกวัน แต่ถ้าออกไปไหนไม่ได้ ก็ลองทำกิจกรรมในร่มดูบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นลงบันได ออกกำลังกายตามวิดีโอ หรือยืดเส้นยืดสายเพื่อเติมพลังให้ตัวเองและขจัดความตึงเครียด
5. สื่อสาร สื่อสาร สื่อสาร
การทำงานทางไกลต้องใช้การสื่อสารมากกว่าปกติ ไม่ใช่น้อยกว่า ใช้การส่งข้อความด่วนและแชทกลุ่มเพื่อรับทราบข่าวสารจากเพื่อนร่วมงานและโปรเจ็กต์อยู่เสมอ ใช้วิดีโอคอลเมื่อประชุม และที่สำคัญที่สุด รายงานตัวกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า
แม้ว่าคุณจะรู้สึกเขินอาย แต่ขอให้พยายามมีส่วนร่วมกับการสนทนาเข้าไว้ หลายๆ คนอาจจะรู้สึกเหมือนกัน แต่การร่วมวงสนทนาเจ๊าะแจ๊ะทางออนไลน์อาจบรรเทาความรู้สึกจากความเหงาหงอยได้อยู่บ้าง
6. ปรับปรุงสไตล์การสื่อสารของคุณ
เมื่อคุณไม่ได้พูดคุยกันต่อหน้า ภาษากายและน้ำเสียงจึงเป็นสิ่งที่ขาดหายไป ด้วยเหตุนี้ การสื่อสารจึงต้องชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อทำงานทางไกล ตรวจทานข้อความของคุณเพื่อดูว่าข้อความนั้นชัดเจนและกระชับ เพื่อให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคุณต้องการสื่ออะไร
7. ขอความช่วยเหลือ
ผู้ที่ทำงานเพียงลำพังอาจพบว่าตัวเองต้องทนแบกภาระงานยากๆ อยู่เสมอ แม้ว่าต้องการความช่วยเหลือ อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อต้องการ และที่จริงนั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ สำหรับผู้จัดการแล้ว การทักไปถามไถ่เป็นประจำพร้อมเสนอตัวช่วยเหลือก่อนมีคนร้องขอถือเป็นสิ่งสำคัญ
การทำงานจากทางไกลถือเป็นอนาคตหรือไม่
ผู้คนหลายล้านคนได้ลิ้มรสชีวิตที่ปราศจากการเดินทางมาทำงานหรือการบินข้ามน้ำข้ามทะเลหลายพันกิโลเมตรเพื่อเข้าประชุมไปเสียแล้ว และดูเหมือนว่าการกลับไปทำงาน ‘ตามปกติ’ น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก
ในระหว่างและหลังการระบาดใหญ่ทั่วโลก บริษัทหลายแห่งได้ประกาศความมุ่งมั่นในการทำงานจากทางไกล และองค์กรต่างๆ เช่น Dropbox และ Quora ก็ใช้วิธีทำงานจากทางไกลเป็นองค์กรแรกๆ
"ผมคิดว่านี่เป็นตัวเร่งชั้นดีสำหรับการเปลี่ยนไปสู่การทำงานจากทางไกลและการจัดการความสัมพันธ์แบบระยะไกลที่มากขึ้น" Sam Walters ผู้อำนวยการ - ผู้ให้บริการระดับมืออาชีพของบริษัทที่ปรึกษาจัดหางานมืออาชีพระดับโลก Robert Walters กล่าว
"สมดุลระหว่างการใช้ชีวิตกับการทำงาน และการทำงานอย่างยืดหยุ่นถือเป็นแนวคิดที่ได้รับการผลักดันให้โดดเด่น เนื่องจากคนยุคมิลเลนเนียลต่างเริ่มเข้าสู่วัยทำงานกันมากขึ้นแล้ว และด้วยการบังคับให้ปรับเปลี่ยนมาทำงานจากทางไกลอย่างแพร่หลาย เราจึงสามารถคาดหวังว่านโยบายที่ส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสมดุลจะกลายเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้คนวัยทำงานเกือบทุกคนนึกถึง"
และด้วยการคาดการณ์ว่าจะมีประชากรที่ทำงานจากทางไกลจำนวน 93.5 ล้านคนภายในปี 2024 ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพนักงานไม่จำเป็นต้องทำงานจากออฟฟิศ พวกเขาสามารถทำงานได้จากทุกที่ ตราบใดที่มีเทคโนโลยีเคลื่อนที่ที่เหมาะสม
ดังนั้นจึงสามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่า การทำงานจากทางไกลไม่ว่าคุณจะทำจากที่ใด จะยังคงอยู่ไปอีกนาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานทางไกลเต็มรูปแบบหรือการทำงานแบบไฮบริด เพราะเป็นสิ่งที่หลายคนอยากจะทำ และมีเทคโนโลยีคอยรองรับให้เราทำงานได้ดี
หัวข้อที่คุณอาจสนใจ
โพสต์ล่าสุด
การสื่อสารทางธุรกิจ | ใช้เวลาอ่าน 9 นาที
อธิบายการสื่อสารทางธุรกิจ
ธุรกิจของคุณขึ้นอยู่กับการแชร์ข้อมูลอย่างประสบความสำเร็จ และขึ้นอยู่กับพนักงานของคุณด้วย ถึงกระนั้น 66% ของบริษัทก็ยังคงขาดแผนระยะยาวสำหรับการสื่อสารทางธุรกิจอยู่ดี แล้วทำไมสิ่งนี้จึงถือเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง อะไรคืออุปสรรคสำหรับการสื่อสารที่พบอยู่บ่อยครั้ง และคุณจะหลีกเลี่ยงอุปสรรคนั้นได้อย่างไร