ทัศนคติในการเป็นผู้ประกอบการของคนเจเนอเรชั่น Y ช่วยผลักดันธุรกิจได้อย่างไร
การเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทำให้คนเจเนอเรชั่น Y มีความสามารถในการสร้างผลกระทบอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เราจะมาสำรวจกันว่าทัศนคติเหล่านี้มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบที่ใหญ่ขึ้นในที่ทำงานได้อย่างไร
![](https://static.xx.fbcdn.net/rsrc.php/v3/y4/r/-PAXP-deijE.gif)
![](https://scontent-ord5-1.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/43151080_309751543089385_4301178694883344384_n.jpg?stp=dst-jpg_p720x720&_nc_cat=111&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=j6Ib_0ZvQ-YQ7kNvgFtfO5t&_nc_ht=scontent-ord5-1.xx&oh=00_AYDKkSDabmwZzDtu0xsXZksz7FJHIeTJze2cxuFJOF-6fQ&oe=66AA6EA0)
เหล่าผู้บริหารกล่าวว่า 'ความสามารถในการสร้างผลกระทบต่อธุรกิจ' เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำงานสำหรับคนเจเนอเรชั่น Y ประชากรรุ่นนี้มีความทะเยอทะยานและไม่เต็มใจที่ต้องรอเวลาสั่งสมประสบการณ์นานเป็นปีๆ เพื่อความก้าวหน้า โดย 91% ต้องการความก้าวหน้าทางอาชีพที่รวดเร็ว
Workplace และ Canvas8 ได้พูดคุยกับ Maddie Grant ผู้เขียนหนังสือ When Millennials Take Over: Preparing for the Ridiculously Optimistic Future of Business และที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมและกลยุทธ์ดิจิทัลที่ Human Workplaces เพื่อทำความเข้าใจสาเหตุที่คนเจเนอเรชั่น Y ต้องการสร้างผลกระทบตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน และสิ่งนี้มีความหมายต่อธุรกิจอย่างไร
ทำไมคนเจเนอเรชั่น Y จึงกระตือรือร้นที่จะเริ่มต้นอาชีพของตน
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนเจเนอเรชั่น Y คือการเป็นแปรปรวนและชอบเปลี่ยนงานบ่อย ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะยุคสมัย แต่เป็นเพราะความเป็นหนุ่มสาว
'คนเจเนอเรชั่น Y มีมุมมองสากลต่อสิ่งที่เป็นไปได้ที่กว้างไกลกว่า'
และเป็นเพราะคนเหล่านี้เติบโตมากับการเรียนรู้ทุกสิ่งที่ตนต้องการผ่านอินเทอร์เน็ต คนเจเนอเรชั่น Y จึงมีมุมมองสากลต่อสิ่งที่เป็นไปได้ที่กว้างไกลกว่า ตั้งแต่การเริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจไปจนถึงการสร้างรูปแบบการทำงานของตนเอง
และเมื่อกล่าวถึงด้านอาชีพ คนเหล่านี้พบว่าการไต่บันไดทางอาชีพขึ้นไปทีละขั้นอย่างช้าๆ นั้นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ เมื่อโครงสร้างขององค์กรไม่เอื้อต่อความเจริญก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างที่ต้องการ ทำให้คนรุ่นนี้เกิดความอึดอัดใจอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นการมีตัวตน พวกเขาต้องการสร้างผลกระทบและต้องการมีบทบาทในอนาคตขององค์กรที่ตนทำงานด้วย พวกเขามักมีมุมมองต่อความเป็นไปได้และแนวทางแก้ปัญหาที่รอบด้านกว่า
คนรุ่นนี้สามารถแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาได้จริง ดังนั้นคงเป็นเรื่องน่าผิดหวังอยู่ไม่น้อย หากพวกเขาไม่มีพื้นที่ให้แสดงความเห็น
นายจ้างสามารถจัดการคนเจเนอเรชั่น Y ที่มีความทะเยอทะยานแต่ด้อยประสบการณ์ได้อย่างไร
จากการศึกษาวิจัยของฉัน ฉันได้จำแนกความสามารถ 4 ประการที่สามารถช่วยให้องค์กรดำเนินการได้อย่างประสบความสำเร็จ นั่นก็คือ ดิจิทัล ความชัดเจน ความลื่นไหล และความเร็ว
'ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับธุรกิจคือ จะทำอย่างไรให้สื่อสารกับคน Gen Y ได้ดีที่สุด'
ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่ตอบโจทย์แนวคิดดิจิทัลของคนเจเนอเรชั่น Y การแสดงแนวคิดอย่างโปร่งใสและแบ่งปันข้อมูลให้กับพวกเขา การสร้างโครงสร้างองค์กรที่คล่องตัวและลื่นไหล หรือการทำให้คนเจเนอเรชั่น Y ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว อุดมคติเหล่านี้เกิดจากความต้องการของคนยุคนี้ที่อยากจะทำงานอย่างเต็มที่ตั้งแต่วันแรก
ปัญหาอย่างหนึ่งของธุรกิจคือ จะทำอย่างไรให้สื่อสารกับคนเจเนอเรชั่น Y ได้ดีที่สุด ซึ่งคำตอบนั้นมีอยู่มากมายและแตกต่างกันออกไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่ว่าคุณจะเป็นคนยุคใดก็ตาม
กุญแจสำคัญคือการมีความสามารถที่จะทำงานในแบบที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารแบบตัวต่อตัว ข้อความด่วน วิดีโอคอล แชทกลุ่ม หรือการพูดคุยผ่านโทรศัพท์
แผนการให้คำปรึกษาสามารถช่วยธุรกิจรับมือกับความคาดหวังด้านอาชีพของคนเจเนอเรชั่น Y ได้อย่างไร
ฉันได้ยินมาว่า คนเจเนอเรชั่น Y รู้สึกคับข้องใจอย่างมากเมื่อพวกเขาต้องการที่ปรึกษาแต่กลับหาวิธีเข้าถึงได้ยากเหลือเกิน ปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งมีแนวทางการให้คำปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นด้วยการจัดกิจกรรม 'Lunch and Learn' (การอบรมพร้อมอาหารกลางวัน)
'แพลตฟอร์มการสื่อสารที่เปิดกว้างยังสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการให้คำปรึกษาหรือแบ่งปันทักษะ'
การให้คำปรึกษาเป็นกลุ่มหรือการแบ่งปันทักษะก็ให้ผลดีเช่นกัน ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรเขียนรายการทักษะที่ตนมีและสอนผู้อื่น หรือเข้าไปทำหน้าที่ในบริษัทที่เหมาะกับชุดทักษะเฉพาะของตน แทนที่จะต้องรอย้ายตำแหน่งตามจำนวนประสบการณ์
เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการสื่อสารที่เปิดกว้างยังสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการให้คำปรึกษาหรือการแบ่งปันทักษะได้หลายรูปแบบ ด้วยการช่วยให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อถึงกันและกัน ให้คำปรึกษา และเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆ
หากบริษัทต้องการประสบความสำเร็จในการให้คำปรึกษาแก่พนักงาน การใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ผลแน่นอน บริษัทจะต้องมีความเอาใจใส่ด้านวัฒนธรรมและได้รับการบ่มเพาะเป็นอย่างดีจากนายจ้าง
ลำดับขั้นแนวราบสามารถช่วยธุรกิจรับมือกับความคาดหวังด้านอาชีพของคนเจเนอเรชั่น Y ได้อย่างไร
ลำดับชั้นมักเกิดขึ้นเองในธุรกิจ เนื่องจากมีบุคคลที่มีความอาวุโสกว่าหรือทำงานในบริษัทนานกว่า
'การใช้แนวทางพัฒนาที่เน้นทักษะมากกว่าบทบาทจะส่งผลดีต่อคนทุกรุ่น'
แต่ปัจจุบัน ลำดับชั้นเหล่านี้มีความลื่นไหลมากขึ้น คนที่อายุน้อยกว่าหรือเข้ามาทำงานทีหลังอาจมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มากกว่า และสามารถเป็นผู้นำโครงการ หัวหน้าคณะกรรมการ หรือผู้นำการประชุมได้
หากคนเจเนอเรชั่น Y มีโอกาสนำความเชี่ยวชาญของตนมาใช้ พวกเขาจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในองค์กร ซึ่งทำให้สามารถเลื่อนตำแหน่งในสายอาชีพได้เร็วขึ้นกว่าการทำงานในโครงสร้างการบริหารจัดการแบบดั้งเดิม
แนวทางการพัฒนาที่ยึดตามทักษะมากกว่าบทบาทยังมีประโยชน์ต่อคนทุกยุคสมัย เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมหากพวกเขามีความรู้ในการทำงาน
เมื่อดูจากความทะเยอทะยานที่เต็มเปี่ยมของเจเนอเรชั่น Y แล้ว อนาคตของที่ทำงานจะออกมาในรูปแบบใด
การบริหารจัดการแบบดั้งเดิมนั้นเป็นแบบกลไก ระบบถูกำหนดไว้อย่างตายตัว ซึ่งมีประสิทธิภาพหากนำมาใช้ในยุคอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบัน สิ่งสำคัญสำหรับยุคดิจิทัลคือการมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคลในระบบนิเวศ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์
หากคนเจเนอเรชั่น Y และ Z ได้รับโอกาสให้นำความเชี่ยวชาญและความกระตือรือร้นมาสู่ธุรกิจ สิ่งนี้จะก่อให้เกิดสถานที่ทำงานที่มีพื้นที่สำหรับทุกคน
'สิ่งสำคัญสำหรับยุคดิจิทัลคือการมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคลในระบบนิเวศ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์'
นี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะ คนเจเนอเรชั่น Z ตระหนักถึงพลังของคนหมู่มาก คนรุ่นนี้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ท่ามกลางช่วงเวลาที่ปั่นป่วนมากกว่าเจเนอเรชั่น Y เสียอีก พวกเขาจึงต้องการตัวตนที่มีพลัง
ดังนั้น แพลตฟอร์มการสื่อสารที่เปิดกว้างเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในอนาคตข้างหน้า การให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการจัดการคนยุคมิลเลนเนียล เนื่องจากเทคโนโลยีสามารถเชื่อมต่อคนเหล่านั้นเข้ากับงานขององค์กรได้ดีกว่า