อนาคตของการทำงานแบบไฮบริด
ปัจจุบัน องค์กรที่แต่เดิมเคยทำงานในออฟฟิศเป็นหลัก ก็มีการนำเอาการทำงานแบบไฮบริดมาใช้เป็นรูปแบบการทำงานหนึ่งแล้ว แต่การทำงานแบบไฮบริดจะยังคงอยู่ต่อไปอีกยาวนานหรือไม่ แล้วจะมีการพัฒนาไปอย่างไร


ความแพร่หลายของการทำงานแบบไฮบริด
เมื่อโลกเกิดภาวะล็อกดาวน์ ธุรกิจต่างๆ ในเกือบทุกภาคอุตสาหกรรมก็จำเป็นต้องเปลี่ยนการดำเนินงานไปไว้นอกออฟฟิศ ตัวอย่างเช่น พนักงาน 46.6% ในสหราชอาณาจักรเริ่มทำงานจากที่บ้านบ้างแล้วภายในเดือนเมษายน 2020 สำหรับองค์กรส่วนใหญ่ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ไม่ได้มาพร้อมกับความราบรื่น แล้วทำไมสิ่งต่างๆ จึงไม่กลับมาเป็นปกติหลังจากคลายล็อคดาวน์แล้วล่ะ
การวิจัยของ Travel Perk พบว่า 76% ของบริษัทต่างๆ ได้นำการทำงานแบบไฮบริดมาใช้เป็นรูปแบบการทำงานหนึ่งอย่างถาวร ซึ่งทำให้พนักงานสามารถแบ่งชั่วโมงระหว่างทำงานจากที่บ้านและออฟฟิศได้1
แล้วสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมนี้คืออะไร และการทำงานแบบไฮบริดจะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่
เส้นทางสู่ออฟฟิศไร้พรมแดน
ค้นพบวิธีการและสาเหตุที่ทำให้เราสามารถทำงานอย่างเต็มความสามารถได้จากทุกที่ภายในโลกของเมตาเวิร์ส









สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนจากการทำงานในออฟฟิศมาเป็นการทำงานแบบไฮบริด
ตลอดการระบาดใหญ่ทั่วโลก การเปลี่ยนไปทำงานจากทางไกลทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ทั้งกดดันและเร่งด่วน
การที่ทุกคนต้องประชุมแบบเห็นหน้ากันนอกออฟฟิศทำให้เทคโนโลยีการประชุมทางวิดีโอกลายมาเป็นทางเลือกที่จำเป็นในชั่วข้ามคืน พร้อมกันนั้น ซอฟต์แวร์การทำงานร่วมกันและการสื่อสารทางออนไลน์ก็เป็นกุญแจสำคัญในการสนับสนุนพนักงานที่ทำงานในโปรเจ็กต์แบบกลุ่ม
การลงทุนในเทคโนโลยี การเชื่อมต่อ และเครื่องมือในการทำงานร่วมกันช่วยให้บริษัทต่างๆ เปลี่ยนการดำเนินงานในออฟฟิศไปดำเนินงานบนพื้นที่เสมือนที่มีสิ่งรบกวนน้อยที่สุดแทน อันที่จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงนั้นราบรื่นมากจนหลายๆ ธุรกิจรายงานว่าพนักงานมีระดับประสิทธิภาพการทำงานที่ใกล้เคียงกับการทำงานในรูปแบบปกติหรือมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นเมื่อทำงานจากที่บ้าน
การศึกษาที่โด่งดังในช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญทั่วโลกของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่สำรวจพนักงาน 16,000 คนในระยะเวลา 9 เดือนพบว่า การทำงานจากที่บ้านช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 13%2 ในขณะเดียวกันรายงานของ Owl Labs ก็เผยว่า 70% ของพนักงานกล่าวว่าการประชุมทางออนไลน์นั้นทำให้ไม่เครียด โดย 64% ชื่นชอบการประชุมแบบไฮบริดมากกว่า3
แต่ทั้งหมดนี้มีความหมายต่ออนาคตของการทำงานอย่างไร เมื่อการทำงานแบบไฮบริดประสบความสำเร็จอย่างมาก และธุรกิจจำนวนมากก็กลับมาประเมินบทบาทของออฟฟิศกันใหม่ แล้วอะไรคือจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการทำงานจากทางไกลและการทำงานในออฟฟิศกันล่ะ
ออฟฟิศยังคงมีความสำคัญอยู่หรือไม่
เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง องค์กรต่างๆ อาจกำลังสงสัยว่าตนยังต้องการออฟฟิศอยู่หรือไม่ แม้ว่าการทำงานจากที่บ้านจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าออฟฟิศยังคงมีบทบาทสำคัญในการการสร้างวัฒนธรรมการทำงานเชิงบวกและสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน การมาที่ออฟฟิศในบางครั้งอาจมีคุณค่าในการทำสิ่งต่อไปนี้
การสร้างการเชื่อมต่อ
เครื่องมือการทำงานร่วมกันนำผู้คนมารวมกันแม้ตัวจะอยู่ห่างไกล และความสัมพันธ์เหล่านี้ก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการขณะที่ผู้คนอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน
การทำงานร่วมกันแบบพบปะกันตัวต่อตัว
การเปลี่ยนไปทำงานจากทางไกลได้เน้นให้เห็นว่างานใดที่ทำคนเดียวจะดีที่สุดและงานใดควรทำร่วมกัน การตระหนักรู้ในเรื่องนี้จะช่วยให้ผู้คนใช้เวลาของตนได้อย่างคุ้มค่าขึ้น เนื่องจากพนักงานจะสามารถเลือกวัน 'ทำงานจากทางไกล' สำหรับงานที่ต้องการสมาธิมากๆ และวันทำงานในออฟฟิศสำหรับงานที่ควรทำร่วมกันได้
การรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน
เมื่อบ้านของคุณกลายมาเป็นที่ทำงานด้วย และทุกคนก็สามารถติดต่อคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน การแบ่งเวลาที่ตนจะเลิกงานก็อาจทำได้ยาก การสร้างพื้นที่สำหรับทำงานเพียงอย่างเดียวในบางครั้งก็สามารถช่วยสร้างขอบเขตระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวได้
การฝึกอบรมและการพัฒนา
การอยู่ในพื้นที่เดียวกับเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์มากกว่าสักสัปดาห์ละสองสามครั้งจะทำให้พนักงานสามารถ "เรียนรู้งาน" ได้ง่ายขึ้น
แม้ว่าพนักงานจะมาพบเจอกันอยู่บ้าง แต่ออฟฟิศในอนาคตจะแตกต่างไปจากนี้มาก
ทำไมการทำงานแบบไฮบริดจึงน่าสนใจ
การทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานได้รับประโยชน์จากการทำงานที่บ้านโดยที่ไม่สูญเสียประโยชน์ในด้านชุมชนและวัฒนธรรมในที่ทำงาน
แต่ประโยชน์ดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่พนักงานเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น รายงานล่าสุดของ Accenture พบว่า 63% ของบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้สูงใช้รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดที่ "คงผลิตผลที่ดีได้จากทุกที่"
มาดูข้อดีหลักๆ ของการทำงานแบบไฮบริดกัน
ข้อดีของการทำงานแบบไฮบริดสำหรับพนักงานมีดังนี้
สร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้ดีขึ้น – บริษัทที่มีการทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานปรับการทำงานให้เข้ากับชีวิตครอบครัวและความมุ่งมั่นส่วนตัวได้
ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย – พนักงานจะประหยัดได้มากขึ้นเนื่องจากมีค่าเดินทางและค่าอาหารระหว่างเดินทางลดลง
เดินทางน้อยลง – การเดินทางไปและกลับจากออฟฟิศน้อยลงทำให้มีเวลาสำหรับครอบครัว การออกกำลังกาย และทำกิจกรรมส่วนตัวมากขึ้น
ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น – พนักงานที่ทำงานจากทางไกลอย่างน้อยเดือนละครั้งมีแนวโน้มที่จะมีความสุขและมีประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น 24%4
ข้อดีของการทำงานแบบไฮบริดสำหรับธุรกิจมีดังนี้
ลดภาระค่าใช้จ่ายลง – เนื่องจากจำนวนพนักงานที่เข้ามาในออฟฟิศมีน้อยลง ความจำเป็นในการใช้พื้นที่ออฟฟิศขนาดใหญ่จึงลดลงมาก ซึ่งจะทำให้ธุรกิจมีค่าเช่าที่ลดลงและมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยลง
ลดการขาดงาน – การส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานที่ดีขึ้นจะช่วยลดระดับความเครียดในหมู่พนักงาน ซึ่งช่วยให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น และทำให้เกิดการขาดงานน้อยลง
อัตราการลาออกของพนักงานลดลง – โดยเฉลี่ยแล้ว บริษัทที่อนุญาตให้ทำงานจากทางไกลมีการลาออกของพนักงานต่ำกว่า 25 คนเมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่อนุญาตให้ทำงานจากทางไกล5
ดึงดูดผู้มีความสามารถได้ดีกว่า – การทำงานแบบไฮบริดช่วยให้บริษัทต่างๆ มีแหล่งจ้างงานที่กว้างมากขึ้นเนื่องจากไม่มีการจำกัดว่าพนักงานจะต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
บริษัทต่างๆ จะยังคงทำงานแบบไฮบริดต่อไปหรือไม่
การทำงานแบบไฮบริดอาจได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ แต่ผู้คนจะค่อยๆ กลับไปทำงานในออฟฟิศตามเวลาวันจันทร์ถึงศุกร์แบบเข้าออกงานตามเวลาปกติหรือไม่ หลายๆ ธุรกิจไม่คิดแบบนั้น ผลสำรวจของ Willis Towers Watson เผยว่า นายจ้างส่วนใหญ่ไม่คาดหวังให้กลับไปทำงานในรูปแบบก่อนเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก โดยเชื่อว่าพนักงานเกือบครึ่งจะมีการทำงานแบบไฮบริด6 และแบบสำรวจของ McKinsey ที่สำรวจผู้บริหาร 100 คนในทวีเอเชีย ยุโรป ละตินอเมริกา และสหรัฐฯ พบว่า 9 ใน 10 องค์กรจะรวมการทำงานจากทางไกลและการทำงานแบบไฮบริดเข้าด้วยกัน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การทำงานแบบไฮบริดมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปคือความต้องการของพนักงาน โดย 88% ของพนักงานต้องการทำงานจากทางไกลบ้างเป็นบางครั้ง 7 บริษัทที่ไม่มีการทำงานแบบไฮบริดอาจพบว่าตนสูญเสียพนักงานและมีปัญหาในการสรรหาบุคลากร เนื่องจากผู้สมัครมองหาองค์กรที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ องค์กรยังได้รับประสิทธิภาพการทำงาน การมีส่วนร่วมของพนักงาน และความพึงพอใจของลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วยนับตั้งแต่นำการทำงานแบบไฮบริดมาใช้ ดังนั้นคงไม่มีองค์กรใดที่จะรีบยกเลิกการทำงานแบบไฮบริดแน่ๆ
อนาคตของการทำงานแบบไฮบริดจะเป็นอย่างไร
การวิจัยของ McKinsey พบว่า แม้ว่าบริษัทเหล่านี้อาจมีวิสัยทัศน์ระดับสูงอยู่แล้ว แต่บริษัทหลายแห่งก็ยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าพวกเขาจะนำการทำงานแบบไฮบริดไปใช้อย่างไรในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตอันใกล้นี้ องค์กรต่างๆ จะพยายามอุดช่องโหว่เหล่านั้นโดยการสร้างนโยบายที่สรุปออกมาอย่างชัดเจนว่าธุรกิจจะนำการทำงานแบบไฮบริดจะมาใช้อย่างไร
โดยสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ จะใช้รูปแบบไฮบริดแบบใด กล่าวคือ จะทำงานจากทางไกลหรือในออฟฟิศเป็นหลัก จะให้พนักงานเลือกเองว่าจะเข้ามาที่ออฟฟิศเมื่อใดหรือจะให้ผู้จัดการรับผิดชอบในการกำหนดจำนวนวันขั้นต่ำที่จะมาที่ออฟฟิศ เพื่อที่จะทำให้การทำงานแบบไฮบริดนั้นได้ผล บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าสิ่งใดที่เหมาะและไม่เหมาะกับองค์กรของตน ดังที่ McKinsey มีกล่าวถึงความสำคัญของการทดลองสิ่งใหม่ๆ และการทำสิ่งเดิมซ้ำๆ และแน่นอนว่า สิ่งสำคัญคือต้องแจ้งแผนและวิสัยทัศน์ให้กับบุคลากรในทุกระดับขององค์กรทราบอย่างชัดเจน
การมองไปที่อนาคตในระยะยาวของการทำงานแบบไฮบริดก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากองค์กรต่างๆ ได้มีการวางรากฐานทางเทคโนโลยีเพื่อที่จะก้าวหน้าต่อไปไว้แล้ว เช่น การก้าวไปสู่เมตาเวิร์ส ในปีต่อๆ ไป อินเทอร์เน็ตที่คุณก้าวเข้าไปได้จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไฮบริดไป โดยการให้ผู้คนสามารถสร้างพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานได้จากทุกที่
บริษัทต่างๆ จะปรับปรุงแนวทางสำหรับการทำงานแบบไฮบริดอย่างไร
แม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพและน่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายเช่นกัน ซึ่งความท้าทายดังกล่าวได้แก่ การแยกตัวออกจากสังคม การสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างพนักงาน การขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง และความเสี่ยงที่พนักงานจะหมดไฟจากการทำงานหนักเกินไป
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางส่วนที่จะช่วยคุณจัดการรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดให้คงประสิทธิภาพการทำงานไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานที่มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันและสร้างแรงบันดาลใจไปพร้อมกันด้วย
ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้าง – การระบาดใหญ่ทั่วโลกได้เปิดโลกทัศน์ให้ผู้จัดการได้เห็นถึงความสำคัญของการถามไถ่เป็นประจำและการพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานของพนักงานอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นการรักษาโอกาสในการติดต่อกันระหว่างการทำงานแบบไฮบริดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
มีความยืดหยุ่น – การมีความยืดหยุ่นในเรื่องเวลาทำงานรวมถึงสถานที่ทำงานอาจทำให้ผู้มีความสามารถสูงสนใจในองค์กรของคุณมากยิ่งขึ้น
กำหนดขอบเขต – การปกป้องธุรกิจของคุณจากการหมดไฟของพนักงานถือเป็นเรื่องสำคัญ Chartered Management Institute (CMI) แนะนำให้องค์กรต่างๆ พิจารณามาตรการต่างๆ เช่น นโยบาย 'สิทธิในการตัดขาดการสื่อสาร' เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตที่บ้านเอาไว้ได้
หาเวลาติดต่อกัน – McKinsey พบว่า บริษัทที่สนับสนุนการมีปฏิสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ เช่น การแชร์ไอเดียหรือเครือข่ายระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกันนั้นช่วยให้มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก ดังนั้นการรักษาการติดต่อแบบนี้ต่อไปจะช่วยให้องค์กรเติบโตได้
เปิดกว้าง – CMI เตือนว่า แม้ว่าการทำงานแบบไฮบริดจะทำให้ได้รับโอกาสใหม่ๆ แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกันในแง่ที่อาจทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมมากขึ้น และอาจนำไปสู่ปัญหาใหม่ๆ ดังนั้นผู้นำและผู้จัดการจำเป็นต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมแบบเปิดกว้าง โดยไม่คำนึงว่าพนักงานจะทำงานอยู่ที่ใด

ก้าวเข้าสู่อนาคตแห่งการทำงาน
สมัครเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากเราเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานและอนาคตของเมตาเวิร์ส
เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Meta ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย คุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว