เป็นสุดยอดเพื่อนร่วมงานประจำทีม

การทำงานร่วมกับผู้อื่นคือรากฐานสำคัญของการทำงานเป็นทีม การทำงานร่วมกับผู้อื่นมีประโยชน์อะไรบ้างและคุณสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่

ความร่วมมือในทีม | ใช้เวลาอ่าน 7 นาที
working with others - Workplace from Meta

เราทุกคนต่างรู้ดีว่าการทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เพราะเหตุใดการทำงานร่วมกับผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ การทำงานเป็นทีมและความร่วมมือในทีมนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไรเมื่อคุณลงมือทำจริง หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของตัวเองแล้วล่ะก็ ต่อไปนี้คือวิธีในการเริ่มต้นพัฒนาทักษะดังกล่าว

เรานิยามการทำงานร่วมกับผู้อื่นว่าอย่างไร

เรานิยามการทำงานร่วมกับผู้อื่นว่าอย่างไร

เมื่อผู้คนพูดถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น พวกเขามักจะอธิบายว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่าง 'ทักษะด้านอารมณ์' ที่จะช่วยคุณในการร่วมงานกับผู้อื่นและสร้างสายสัมพันธ์ในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แล้วสิ่งนี้มีลักษณะเป็นอย่างไรกัน

Nebraska University of Law ได้อธิบายความหมายของการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดีไว้ดังนี้

  • ความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความร่วมมือ ร่วมงานกับผู้อื่น และจัดการความขัดแย้งกับผู้อื่นเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้
  • การเข้าใจภูมิหลังทางวัฒนธรรมของผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น ลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน
  • การตัดสินใจด้วยตนเองและการตัดสินใจร่วมกับผู้อื่น
  • การแสดงความเห็นและการเคารพความเห็นที่แตกต่าง
  • การมีความยืดหยุ่น
การกลับสู่ที่ทำงาน

ดาวน์โหลดคู่มือสิ่งที่ควรรู้นี้เพื่อสำรวจโอกาสและความท้าทายที่ผู้คนต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

นิยามของการทำงานเป็นทีม

นิยามของการทำงานเป็นทีม

โดยธรรมชาติแล้ว การทำงานร่วมกับผู้อื่นมักจะเชื่อมโยงกับการทำงานเป็นทีม ทั้งนี้ พจนานุกรม Merriam-Webster ได้ให้คำนิยามของการทำงานเป็นทีมไว้ว่า "งานที่ทำโดยผู้เกี่ยวข้องหลายคน โดยแต่ละคนทำงานในส่วนของตนเองอย่างไม่ก้าวล้ำหน้าผู้อื่นเพื่อประสิทธิภาพของงานโดยรวม"

หากยึดตามนิยามดังกล่าว การทำงานเป็นทีมจะเน้นไปที่ความสามารถของเราที่มีต่อเป้าหมายที่ทุกคนมีร่วมกัน โดยให้ความสำคัญกับเป้าหมายดังกล่าวมากกว่าความต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายส่วนตัวของแต่ละบุคคล หรืออาจกล่าวได้ว่า หากคุณทำงานเป็นทีม คุณจะต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายของทีมเป็นอันดับแรก

ผู้เชี่ยวชาญต่างก็เห็นด้วยกับประเด็นข้างต้น โดย J. Richard Hackman นักจิตวิทยาสังคมผู้มีชื่อเสียงได้กลายเป็นที่โด่งดังจากการกำหนดรูปแบบ 5 ปัจจัยที่จะทำให้เกิดความสำเร็จในรูปแบบทีม ซึ่งได้สรุปคุณสมบัติและเงื่อนไขในการทำงานเป็นกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพไว้ดังนี้

  1. กลุ่มดังกล่าวทำงานเป็นทีมเวิร์ก โดยมีขอบเขตที่ชัดเจน มีการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างสมาชิก และมีความคงที่ของสมาชิกในทีมเมื่อระยะเวลาผ่านไปหรือไม่
  2. ทีมดังกล่าวมีแผนการทำงานและเป้าหมายที่ชัดเจน ท้าทาย และก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามมาหรือไม่ แผนการทำงานและเป้าหมายดังกล่าวโฟกัสไปที่เป้าหมาย แทนที่จะเป็นวิธีการหรือไม่
  3. โครงสร้างของทีมตั้งแต่ตัวงาน องค์ประกอบของทีม และแนวทางปฏิบัติหลักช่วยให้เกิดทีมเวิร์กมากกว่าขัดขวางไม่ให้เกิดหรือไม่
  4. ทีมดังกล่าวมีสายสัมพันธ์และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่แน่นแฟ้นซึ่งช่วยให้ผู้คนทำงานร่วมกันได้หรือไม่
  5. ทีมดังกล่าวมีการฝึกสอนทักษะความสามารถเพื่อช่วยให้สมาชิกก้าวข้ามจุดที่ยากลำบากและได้ประโยชน์จากโอกาสที่มาถึงหรือไม่ มีการฝึกสอนเมื่อสมาชิกพร้อมเต็มที่ที่จะได้รับโอกาสและใช้ประโยชน์จากโอกาสนั้นหรือไม่
เหตุใดการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เหตุใดการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ในบางครั้งผู้คนก็อาจรู้สึกว่าทักษะด้านอารมณ์เป็นเพียงแค่สิ่งที่มีก็ดี ไม่มีก็ได้ และความสามารถในการร่วมงานกับผู้อื่นนั้นเป็นทักษะที่สำคัญน้อยกว่าทักษะด้านอาชีพอย่างคุณสมบัติและการรับรองทักษะต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ทักษะด้านอารมณ์ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของความสำเร็จ โดยงานวิจัยจาก Queen's University of Charlotte ระบุว่า 44% ของผู้บริหารอันดับต้นๆ เชื่อว่า ทักษะด้านอารมณ์เป็นส่วนสำคัญที่สุดของทักษะที่ขาดหายไปในสหรัฐฯ และ 73% รู้สึกว่า ทักษะด้านนี้สำคัญกว่าทักษะเฉพาะทางของอาชีพนั้นๆ อีกด้วย

นอกจากนี้ในการวิจัยชิ้นเดียวกัน เกือบ 3 ใน 4 ของนายจ้างยังระบุอีกด้วยว่า การทำงานร่วมกันและการทำงานเป็นทีมนั้นเป็นสิ่งที่ "สำคัญอย่างยิ่ง" อย่างไรก็ตาม กลับมีพนักงานเพียงแค่ 18% เท่านั้นที่ได้รับการประเมินการทำงานร่วมกันในระหว่างการประเมินประสิทธิภาพการทำงาน

สายสัมพันธ์ในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าสิ่งนี้ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ Gallup ได้ดำเนินการวัดค่าความสัมพันธ์ในที่ทำงานโดยอาศัยเกณฑ์ชี้วัดที่ว่า "คุณมีเพื่อนสนิทในที่ทำงานหรือไม่" เป็นกระบวนวิธีสำหรับวัดการจัดการที่มีประสิทธิภาพ

เมื่อผู้คนตอบว่า 'ใช่' ตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จก็จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดย Gallup พบว่า ผู้หญิงที่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าตนเองมีเพื่อนสนิทในที่ทำงานนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นพนักงานที่มีส่วนร่วมกับองค์กร (63%) มากกว่าผู้หญิงที่ตอบอย่างอื่น (29%) เกิน 2 เท่าด้วยกัน

ในโลกการทำงานในปัจจุบัน การทำงานร่วมกันกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราใช้เวลาในการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา และด้วยที่การสร้างทีมที่ทำงานจากทางไกลและการเชื่อมต่อพนักงานที่ทำงานที่ออฟฟิศเป็นหลักกับบุคลากรหน้างานนั้นมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น องค์กรต่างๆ จึงจำเป็นจะต้องหากระบวนการและเครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดการสื่อสารและการร่วมมือทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ

คุณค่าของสายสัมพันธ์บนโซเชียล

คุณค่าของสายสัมพันธ์บนโซเชียล

สายสัมพันธ์บนโซเชียลเป็นมากกว่าแค่เรื่องเทคโนโลยี โดยในขณะที่บริษัทต้องพึ่งพาความรู้และทักษะของพนักงานมากกว่าที่เคย บริษัทยังจำเป็นต้องทำความเข้าใจวิธีการมีปฏิสัมพันธ์ของเหล่าพนักงาน รวมถึงคุณค่าของการมีปฏิสัมพันธ์บนโซเชียลด้วย ซึ่งบริษัทต่างๆ ก็กำลังดำเนินการในส่วนนี้อยู่ โดยรายงานฉบับล่าสุดจาก Economist Intelligence Unit ได้พยายามทำความเข้าใจวิธีที่บริษัทต่างๆ จะสามารถผลักดันให้เกิดการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยให้ความสำคัญและส่งเสริมสายสัมพันธ์และเครือข่ายบนโซเชียลให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

แบบสำรวจซึ่งสอบถามเหล่าผู้อำนวยการและผู้นำระดับสูงมากกว่า 200 รายเผยให้เห็นว่า ผู้บริหารเหล่านี้ต่างเล็งเห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของ "โซเชียล" ในการขับเคลื่อนความสำเร็จ ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่สายสัมพันธ์บนโซเชียลนั้นมีต่อแต่ละบุคคลและทุกคนในทีมอีกด้วย

  • บริษัทที่ให้คะแนนคุณสมบัติเกี่ยวกับทุนทางสังคมที่แข็งแกร่ง เช่น ความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา การเปิดกว้าง การทำงานร่วมกัน การเผยแพร่ข้อมูลตลอดทั้งบริษัท และความเชื่อมั่นของตนเองในระดับสูงมักจะมองบริษัทตนเองว่าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและรายงานรายได้ที่เติบโตทั้งในปัจจุบันและที่คาดการณ์ไว้สูงกว่าบริษัทอื่น
  • กระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่น เช่น การจับคู่พนักงานให้ทำงานชิ้นเดียวกันจะช่วยเพิ่มคุณภาพของงานและช่วยให้มั่นใจว่าพนักงานหลายๆ คนจะเข้าใจการตัดสินใจและวิธีการทำงาน
  • องค์กรที่มีทุนทางสังคมที่รายงานด้วยตนเองสูงกว่าองค์กรอื่นๆ มักฝึกอบรมพนักงานใหม่ได้เร็วกว่าองค์กรอื่นๆ โดย 35% ขององค์กรเหล่านั้นระบุว่า ตนใช้เวลาไปกับกระบวนการดังกล่าวน้อยกว่า 2 สัปดาห์

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม คุณสามารถอ่านรายงานฉบับเต็มของ Economist Intelligence Unit ได้ที่นี่

การทำงานเป็นทีมและการทำงานตัวคนเดียว

การทำงานเป็นทีมและการทำงานตัวคนเดียว

ประโยชน์บางส่วนของการทำงานเป็นทีมมีดังต่อไปนี้

การแชร์ไอเดียและนวัตกรรม เมื่องานชิ้นหนึ่งมีผู้รับผิดชอบหลายคน คุณไม่เพียงแต่จะได้รับไอเดียมากขึ้น แต่ยังจะได้รับประโยชน์จากการที่ความคิดของคนคนหนึ่งไปจุดประกายความคิดของอีกคน รวมถึงความสามารถในการพัฒนาไอเดียต่างๆ ผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันด้วย

การกระจายภาระงาน เมื่อทุกคนช่วยงานกัน ภาระงานชิ้นดังกล่าวก็จะน้อยลง เมื่อคุณสามารถแบ่งงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมอบหมายงานที่เหมาะกับความสามารถของแต่ละคนมากที่สุด งานชิ้นนั้นก็จะสำเร็จลุล่วงได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น

การเล็งเห็นถึงความสามารถและการทำงานตามความถนัดของแต่ละบุคคล เมื่อสมาชิกในทีมรู้ทักษะ ประสบการณ์ จุดแข็ง และจุดอ่อนของกันและกัน พวกเขาก็จะทำงานเป็นทีมและปรับตัวให้เข้ากับงานต่างๆ ได้ด้วยการกำหนดหน้าบทบาทหน้าที่ที่เหมาะสมกับแต่ละคน

การสนับสนุนซึ่งกันและกัน การเป็นส่วนหนึ่งของทีมเป็นประสบการณ์ร่วมที่สามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันระหว่างสมาชิกแต่ละคนได้ และเมื่อสมาชิกมีแนวคิดที่ว่า 'ทีมต้องมาก่อน' พวกเขาก็จะต้องการสนับสนุนและร่วมยินดีกับคนอื่นๆ ในทีมเองโดยธรรมชาติ

การเรียนรู้จากผู้อื่น การทำงานร่วมกับผู้อื่นช่วยให้คุณได้เรียนรู้ทักษะและรูปแบบการทำงานใหม่ๆ เมื่อคุณทำงานร่วมกับผู้อื่นในทุกๆ วัน สิ่งดีๆ ที่คุณรับมาจากสมาชิกในทีมก็จะติดตัวคุณไปตลอด

ประสิทธิผลที่ได้รับ ทีมที่มีประสิทธิภาพจะสร้างผลลัพธ์ได้มากกว่าผลลัพธ์ของทุกคนรวมกัน การอยู่รวมกันเป็นทีมจะมอบพลังงานและความรู้สึกถึงความสำเร็จที่คุณอาจไม่ได้รับหากทำงานตัวคนเดียว การทำสิ่งต่างๆ เพื่อทีม แทนที่จะเพื่อตัวคุณเองหรือเป้าหมายส่วนตัวสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนที่ทรงพลังได้

คุณจะทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร

คุณจะทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร

คนบางคนอาจทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว แต่ถ้าหากคุณไม่มีทักษะนี้มาแต่แรกล่ะ แล้วทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้ได้หรือเปล่านะ โชคดีที่ความสามารถในการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพนั้นประกอบไปด้วยชุดทักษะที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจนเชี่ยวชาญได้

การรับฟัง

การรับฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับฟังอย่างกระตือรือร้นเป็นทักษะที่ผู้คนมักมองข้าม ทว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคุณได้อย่างแท้จริงเมื่อคุณเรียนรู้ที่จะรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพนั้น คุณจะต้องจดจ่อกับทุกสิ่งที่คนคนนั้นกำลังพูดและพยายามไม่ให้ความคิดเห็นหรือแนวคิดส่วนตัวของคุณมาดึงความสนใจตรงหน้าไป

ลองหาวิธีตอบกลับบุคคลที่กำลังพูดเพื่อให้พวกเขารู้ว่าคุณรับฟังโดยอาศัยการสบตา การพยักหน้าเห็นด้วย และการแสดงการรับรู้ผ่านทางคำพูด หรือด้วยการถามคำถามหรือสรุปสิ่งที่คุณเข้าใจ

การพูด

การสื่อสารผ่านทางคำพูดเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะสื่อสารแบบเห็นหน้ากันหรือสื่อสารทางไกลก็ตาม ลองฝึกถ่ายทอดความคิดของคุณออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและดูมั่นใจ

เมื่อคุณพูด ให้ลองสังเกตพฤติกรรมอย่างการใช้คำพูดติดปาก เช่น "เอิ่ม", "เอ่อ" หรือ "อย่าง" และการพูดรัวหรือการพูดพึมพำกับตัวเองดู ทั้งนี้ อย่าลืมว่าการหยุดพักเวลาพูดก็มีประโยชน์ในการขับเน้นข้อความที่คุณถ่ายทอดไปและให้เวลาผู้ฟังได้คิดตามและตกตะกอนความคิดในสิ่งที่คุณพูดได้ด้วยเช่นกัน

ความเห็นอกเห็นใจ

ความเห็นอกเห็นใจไม่ใช่แค่ทักษะในการทำงาน แต่ยังเป็นทักษะชีวิตอีกด้วย ทักษะนี้คือการที่คุณสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราและรู้สึกในสิ่งที่ผู้อื่นอาจกำลังรู้สึกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ

คุณสามารถฝึกความเห็นอกเห็นใจได้โดยลองหาเวลาในแต่ละวันแล้วนึกถึงบุคคลที่คุณห่วงใย ลองคิดว่าชีวิตของพวกเขาเกิดอะไรขึ้นบ้างและพวกเขากำลังรู้สึกแบบใดอยู่ ควรแสดงออกอย่างไรจึงจะเหมาะสม และคุณมีบทบาทอะไรในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านี้บ้าง

ความยืดหยุ่น

การทำงานร่วมกับผู้อื่นคือการรับไอเดียและความเชื่อที่แตกต่างจากของคุณและยอมให้สิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ที่คุณให้ความสำคัญ หากคุณเป็นคนที่มีไอเดียที่ชัดเจนหรือเคยทำงานคนเดียวและมีอำนาจในการควบคุมได้อย่างเต็มที่ คุณอาจจะต้องค่อยๆ เพิ่มทักษะนี้

ลองสร้างนิสัยให้เป็นคนจดจ่อกับปัจจุบันและอนาคต ไม่ใช่จมอยู่กับอดีต ลองมองไปที่โซลูชั่นและผลลัพธ์ แทนที่จะกล่าวโทษหรือจมอยู่กับความคิดที่ว่าวิธีการอื่นจะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันหรือไม่ นิสัยที่เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งก็คือ 'การมองเห็นความเป็นไปได้' โดยมองว่าทุกไอเดียสามารถเป็นจริงได้จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นอย่างอื่น

ความอดทน

บางครั้งการทำงานก็สร้างความหงุดหงิดใจให้กับคุณได้ ทั้งนี้ ความอดทนคือหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดในการลดความเครียด หลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายในทีม และช่วยให้คุณจดจ่ออยู่กับเป้าหมาย

การฝึกความอดทนคือการตระหนักรู้ถึงสิ่งที่คุณสามารถและไม่สามารถควบคุมได้ หากคุณไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดใจได้ สิ่งที่คุณควรทำต่อไปคือการเปลี่ยนโฟกัสไปที่การตอบสนองของตนเอง เพื่อที่คุณจะสามารถลดปฏิกิริยาตอบสนองและระดับความเครียดของตนเองได้ ลองถามตัวเองดูว่า คุณสามารถมองสถานการณ์ดังกล่าวในแง่มุมอื่นๆ ได้ไหม ประเด็นนี้มีความสำคัญต่อแผนการในภาพรวมอย่างไรบ้าง

การเจรจาต่อรอง

ความสามารถในการเจรจาต่อรองจะช่วยให้คุณก้าวผ่านความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในที่ทำงานและส่งผลให้เกิดข้อสรุปในทิศทางที่ดีได้ ซึ่งการจะมีทักษะนี้ได้ คุณจะต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังคงต้องมีความยืดหยุ่น เปิดรับความเป็นไปได้อื่นๆ มีความสุขุมนุ่มลึก มองสิ่งต่างๆ ในเชิงปฏิบัติ แม้ว่าสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบจะมีความสำคัญกับคุณเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ การรับฟังและความเห็นอกเห็นใจก็เป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้กัน

อารมณ์ขัน

โอเค บางทีคนเราก็ไม่สามารถเรียนรู้ที่จะมีอารมณ์ขันได้ แต่คุณเองก็สามารถฝึกเป็นคนเปิดกว้างต่ออารมณ์ขันของผู้คนในที่ทำงานและพยายามหาด้านดีๆ ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนักได้

การเห็นคุณค่าของแต่ละคน

ประเด็นสำคัญของการทำงานเป็นทีมอยู่ที่ผู้คน ซึ่งเราทุกคนล้วนมีความแตกต่างกัน การเรียนรู้ที่จะชื่นชมและเห็นถึงคุณค่าของประสบการณ์ มุมมอง และแนวความคิดที่แตกต่างกันที่เพื่อนร่วมงานของคุณแสดงออกมานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ทักษะในการทำงานเป็น แต่ยังเป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญอย่างยิ่งของการทำงานร่วมกับผู้อื่นอีกด้วย

หัวข้อที่คุณอาจสนใจ

เชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอ

รับข่าวสารและข้อมูลเชิงลึกล่าสุดจากบุคลากรหน้างาน

เมื่อส่งแบบฟอร์มนี้ จะถือว่าคุณยินยอมที่จะรับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตลาดจาก Facebook ซึ่งประกอบด้วยข่าวสาร กิจกรรม ข้อมูลอัพเดต และอีเมลส่งเสริมการขาย โดยคุณสามารถถอนความยินยอมและเลิกรับอีเมลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ คุณยังรับทราบว่าได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวบน Workplace แล้ว

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

การทำงานร่วมกันของทีม: วิธีเป็นสุดยอดเพื่อนร่วมงานประจำทีม

เรียนรู้เพิ่มเติม
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

การทำงานร่วมกันของทีม: วิธีเป็นสุดยอดเพื่อนร่วมงานประจำทีม

เรียนรู้เพิ่มเติม

โพสต์ล่าสุด

การทำงานเป็นทีม | ใช้เวลาอ่าน 10 นาที

วิธีสร้างความร่วมมือในทีม

แนวทางการทำงานร่วมกันสามารถช่วยให้พนักงานของคุณทำงานอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น สร้างสรรค์กว่าเดิม และมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ นี่คือวิธีทำให้ความร่วมมือในทีมประสบความสำเร็จ

การทำงานร่วมกัน | ใช้เวลาอ่าน 3 นาที

การทำงานร่วมกันแบบหลายฝ่าย

ค้นพบเคล็ดลับที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานร่วมกันแบบหลายฝ่าย รวมถึงประโยชน์ของมุมมองที่หลากหลายและวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานเป็นทีมในที่ทำงานของคุณ

ความร่วมมือในทีม | ใช้เวลาอ่าน 8 นาที

วิธีทำให้การทำงานร่วมกันแบบข้ามทีมมีประสิทธิภาพ

เรียนรู้วิธีกระตุ้นการทำงานร่วมกันแบบข้ามทีม รวมถึงทำความเข้าใจหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดและข้อผิดพลาดเพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันในทีมของคุณให้ดีขึ้น