สุขภาวะของพนักงานคืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญ
สุขภาวะของพนักงานได้เปลี่ยนจากเรื่องที่มีก็ดีเป็นภารกิจสำคัญ เหตุใดสุขภาวะของพนักงานจึงมีความสำคัญมาก และคุณจะให้ความสำคัญกับสุขภาวะในวัฒนธรรมการทำงานได้อย่างไร
![](https://static.xx.fbcdn.net/rsrc.php/v3/y4/r/-PAXP-deijE.gif)
![What is employee wellbeing? - Workplace from Meta](https://scontent-iad3-2.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/252756175_940554093481325_8496739121324056432_n.jpg?stp=dst-jpg_p600x600&_nc_cat=100&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=UxtPnbsGOo8Q7kNvgF-9usL&_nc_ht=scontent-iad3-2.xx&oh=00_AYCVIvRIQOR4w0tMGdMTxFt8NHmfwkrt1ekW6eMgB7zN8A&oe=66AA448D)
การดูแลเอาใจใส่สุขภาพและสุขภาวะของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อรักษาสถานะที่ดีให้แก่ธุรกิจของคุณเอง แต่เรื่องสุขภาวะนั้นไม่ใช่แค่การมีมื้อเช้าฟรี มีแอพสำหรับการฝึกสมาธิให้ใช้ และมีส่วนลดค่าสมาชิกยิมให้เท่านั้น แต่องค์กรที่มีสถานะที่ดีจะยึดเอาเรื่องสุขภาวะเป็นแก่นของวัฒนธรรมองค์กรด้วย
การระบาดใหญ่ทั่วโลกอาจส่งผลให้องค์กรทั้งหลายตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาวะได้เองแล้ว แต่หลายๆ องค์กรก็ยังคงไม่รู้วิธีสร้างเสริมสุขภาวะให้เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน ในสหราชอาณาจักร มีจำนวนองค์กรมากที่กล่าวว่าพวกเขาตื่นตัวกับเรื่องของสุขภาวะมากขึ้น แต่มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีการวางกลยุทธ์ด้านสุขภาวะของพนักงานไว้อย่างเป็นทางการ
ในขณะเดียวกัน สุขภาวะก็กำลังถดถอย โดย 85% ของผู้เข้าร่วมการศึกษาของ Harvard Business Review กล่าวว่าสุขภาวะของตนเองแย่ลงตั้งแต่มีการระบาดใหญ่ทั่วโลก
ดังนั้น คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะของพนักงานในองค์กรให้ดีขึ้น เราได้พูดคุยกับ Sharon Aneja ผู้ก่อตั้ง Humanity Works Consultancy ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาเชิงบวกและสุขภาวะ เพื่อหาคำตอบ
เรียนรู้ว่าผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลกสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร
ดาวน์โหลดเคล็ดลับมืออาชีพทั้ง 6 ข้อเพื่อค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการมีส่วนร่วมของพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร
![](https://scontent-iad3-2.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241657427_830327301017600_1962560683684295026_n.jpg?_nc_cat=103&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=kXPBpETCIRsQ7kNvgG3iTKF&_nc_ht=scontent-iad3-2.xx&oh=00_AYDVqM3Jvr0M6U5dFybHH_lmH5WIuG5b4SaJJYhNeSL1sA&oe=66AA1811)
![](https://scontent-iad3-1.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241700087_402134681493763_6402224727821764861_n.jpg?_nc_cat=102&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=Q0z5RifsOagQ7kNvgE_zhNl&_nc_ht=scontent-iad3-1.xx&oh=00_AYD8ZSsz-ZG8Y6mKYXIcpuvefS33l1jQ7lOTqpW4E-fWjA&oe=66AA1C18)
![](https://scontent-iad3-2.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241221457_908577796409130_6487958369880006678_n.jpg?_nc_cat=111&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=KMDLplXRTc8Q7kNvgE_sitK&_nc_ht=scontent-iad3-2.xx&oh=00_AYA32F5GfrZFUmEI_lVnJ_fBK3kZJkA_wjT-uKwJ3HzkIg&oe=66AA2C9C)
![](https://scontent-iad3-1.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241625011_538813510723750_6067052383644802717_n.jpg?_nc_cat=108&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=ipO-OFAm9YwQ7kNvgEQX8u8&_nc_ht=scontent-iad3-1.xx&oh=00_AYBaG4toBgpwNfAwz-lfXpIcPGkMpYIMh28wA8M5uXtWzg&oe=66AA1500)
![](https://scontent-iad3-1.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241639311_391950989102429_5023017423346854138_n.jpg?_nc_cat=108&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=Sz1KtrjEdmUQ7kNvgFZDaee&_nc_ht=scontent-iad3-1.xx&oh=00_AYBky52lTPnV9VQlWUahbMNZ2KnWUlZi4z_SeFF1HhdMRg&oe=66AA2383)
![](https://scontent-iad3-1.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241680920_332122231999515_373331672225401460_n.jpg?_nc_cat=104&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=bGQ_GJfIxI0Q7kNvgF0qjh2&_nc_ht=scontent-iad3-1.xx&oh=00_AYButt6cecV4LXVDLFq0d3IJFRXAaRPcPffdK3rbe-VabQ&oe=66AA1D06)
![](https://scontent-iad3-2.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241256790_921023931957750_1265904103262126731_n.jpg?_nc_cat=103&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=UG9yCIjaCJsQ7kNvgFOGCR0&_nc_ht=scontent-iad3-2.xx&oh=00_AYDvMYdDBx6-lEt61xabnBFNRo-6Gg8ULilI8QYUNUcdig&oe=66AA4BF2)
![](https://scontent-iad3-1.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241676153_587765818908517_6915274023430930059_n.jpg?_nc_cat=108&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=pmnzfo5eeGIQ7kNvgF3yMlH&_nc_ht=scontent-iad3-1.xx&oh=00_AYDrCnFW8Ikyvy8g3f-oDldYjI0VnGZziJoL69sqLK8geg&oe=66AA357C)
![](https://scontent-iad3-2.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/241698027_372910177816075_3542654260261704366_n.jpg?_nc_cat=105&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=iOwtr5d85ycQ7kNvgGPfa7j&_nc_ht=scontent-iad3-2.xx&oh=00_AYBjmuETExzyCTCdnuhUiDZvJVRapTRgM9uN5jbb4FYLjQ&oe=66AA3835)
สุขภาวะของพนักงานคืออะไร
สุขภาวะไม่ใช่เพียงแค่สุขภาพกายเท่านั้น ถึงนั่นจะเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุดก็ตาม สุขภาวะของพนักงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบในแต่ละวัน ความคาดหวัง ความสัมพันธ์ ระดับความเครียด และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อความสุขและสุขภาพโดยรวมของพนักงาน
"พูดง่ายๆ มันก็คือเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกของพนักงานในระหว่างทำงาน" Sharon กล่าว "พวกเขารู้สึกอย่างไรต่อตนเองและรู้สึกอย่างไรต่อองค์กร ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง คุณจึงจำเป็นต้องใส่ใจสุขภาวะทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิทยา ผู้คนมักจะเมินเฉยต่อสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ซึ่งแท้จริงแล้วก็สำคัญมากเช่นกัน"
และเธอยังเสริมว่าคุณอาจมองสุขภาวะว่าเป็นลำดับขั้นความต้องการด้านต่างๆ ก็ได้ ไล่จากขั้นล่างสุด จะมีลักษณะดังนี้
ระดับพื้นฐาน: สุขภาวะด้านจิตวิทยา – การได้รับเงินค่าจ้างและมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่สะอาด
ระดับ 4: ความปลอดภัยด้านร่างกายและความปลอดภัยด้านจิตวิทยา – ความรู้สึกปลอดภัยที่ได้เป็นตัวเอง
ระดับ 3: สุขภาวะด้านสังคม – ความรู้สึกว่ามีตัวตนในองค์กร
ระดับ 2: การเห็นคุณค่าในตนเอง – ความรู้สึกว่าตัวเองคนมองเห็นคุณค่า
ระดับ 1: เข้าถึงศักยภาพของตน – การที่สามารถเชื่อมโยงจุดประสงค์ของงานที่ทำและองค์กรได้
รายละเอียดเยอะแยะเลยใช่ไหม อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีคำว่าทางลัดสำหรับเรื่องสุขภาวะ "หากเราตั้งใจตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในที่ทำงาน แนวทางด้านสุขภาวะในสถานที่ทำงานจะต้องครอบคลุมแบบองค์รวม" Sharon กล่าว
"โครงการด้านสุขภาวะที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือโครงการที่ยึดถือสุขภาวะเป็นหัวใจขององค์กร โดยจะให้เป็นหน้าที่ของ HR เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของทุกคน เนื่องจากสุขภาวะในสถานที่ทำงานไม่ได้มีประโยชน์แค่กับพนักงานและองค์กรเท่านั้น ยังมีประโยชน์ต่อชุมชน ต่อสังคม ต่อเศรษฐกิจ และมีประโยชน์อีกมากนอกเหนือจากแค่การโต้ตอบระหว่างพนักงานและนายจ้าง"
เรากำลังอยู่ในจุดไหนของสุขภาวะในที่ทำงาน
การระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อวิธีการทำงานของเรา แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ถาโถมมาอย่างต่อเนื่อง นายจ้างต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในการจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาวะของพนักงาน นี่คือปัญหาหลัก 5 ประการที่คุณควรคำนึงถึง
ภาวะหมดไฟ ความวิตก และความซึมเศร้า
ในช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก ปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและการขาดแคลนแรงงานทำให้ผู้คนต้องทำงานหนักขึ้นและมีเวลาพักน้อยลง แบบสำรวจของ Harvard พบว่าความต้องการแรงงานที่เพิ่มขึ้นคือปัจจัยใหญ่ที่สุดที่บั่นทอนสุขภาวะในที่ทำงาน นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก
การต้องทำงานโดยไม่มีเวลาได้พักหายใจทำให้ระดับความเครียดสูงขึ้น เสี่ยงที่จะเกิดภาวะหมดไฟและส่งผลให้พนักงานลาออกเพิ่มขึ้น หากไม่รีบแก้ไข ความท้าทายสำหรับผู้นำคือการต้องแก้ไขสภาพการทำงานที่นำไปสู่ภาวะหมดไฟก่อนที่จะสายเกินไป
ความท้าทายของการทำงานจากบ้าน
การทำงานจากบ้านและแบบไฮบริดมีข้อดีมากมาย เช่น ความยืดหยุ่น ลดการเดินทาง และมีเวลาให้ครอบครัว เพื่อนฝูง และกิจกรรมอดิเรกมากขึ้น สำหรับองค์กร ก็ช่วยให้มีโอกาสเข้าถึงบุคคลผู้มีความสามารถที่หลากหลายและลดค่าใช้จ่ายในออฟฟิศด้วยเช่นกัน แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน นั่นก็คือการทำให้ขอบเขตเลือนลาง ส่งผลให้ยากที่จะผละตัวเองออกจากเรื่องงานเมื่อโต๊ะรับประทานอาหารกับโต๊ะทำงานคือที่เดียวกัน นอกจากนั้นยังมีความท้าทายในด้านการติดต่อกับเพื่อนร่วมงานและขอความช่วยเหลือแบบทันท่วงที
ความโดดเดี่ยวและความเหงา
การล็อกดาวน์และการทำงานจากทางไกลทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว ความรู้สึกเช่นนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงเวลาที่มีแต่ความไม่แน่นอน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การต้องออกห่างจากคนอื่นๆ และไกลจากสภาพแวดล้อมในที่ทำงานอาจนำไปสู่การไม่มีส่วนร่วมและบั่นทอนขวัญกำลังใจ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาวะทางอารมณ์ได้
ความไม่แน่นอนด้านการเงิน
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงด้านการเงินครั้งใหญ่ ในขณะที่บางคนยังพอสามารถเก็บออมเงินได้ บางส่วนกลับต้องถูกพักงานโดยไม่มีค่าจ้างและเกิดความกังวลด้านความมั่นคงในอาชีพ
ตามข้อมูลจากการสำรวจของ Chartered Institute of Personnel and Development1 สุขภาวะด้านการเงินเป็นเรื่องที่องค์กรให้ความสำคัญน้อยที่สุด แต่ความกังวลเรื่องการเงินอาจทำให้พนักงานเกิดความเครียดสูงและส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน
ความท้าทายด้านความเป็นผู้นำ
การระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ทำให้บรรดาผู้นำมีเรื่องให้ต้องขบคิดขนานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการทีมที่ทำงานจากทางไกล ไปจนถึงการนำเสนอมาตรการด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมในที่ทำงาน ในฐานะผู้นำ หน้าที่ของคุณคือการสร้างบรรยากาศให้ทีมอุ่นใจว่างานทุกอย่าง "ยังเป็นปกติดี" แม้ว่าคุณอาจจะรู้สึกกังวลใจไม่น้อยไปกว่าทุกคนก็ตาม สไตล์การเป็นผู้นำที่เปิดเผยและซื่อตรงเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาวะของพนักงาน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบากซึ่งบุคลากรทุกคนต้องการการสนับสนุนและการชี้นำจากคุณเป็นพิเศษ
![Leadership styles plays a crucial role in employee wellbeing](https://scontent-iad3-1.xx.fbcdn.net/v/t39.2365-6/211359779_332641531772817_6153129911465533563_n.png?stp=dst-png_p720x720&_nc_cat=101&ccb=1-7&_nc_sid=9170fc&_nc_ohc=J075S4hqkrsQ7kNvgELKL43&_nc_ht=scontent-iad3-1.xx&oh=00_AYCW9fC4jfKfVg9v1mWk4LiDFZ8-zjkKFg8FOVh1iZHqPg&oe=66AA494F)
ประโยชน์ของสุขภาวะในที่ทำงาน
เมื่อคุณช่วยเสริมสร้างสุขภาพและสุขภาวะให้กับบุคลากรของคุณ สิ่งนี้จะช่วยสร้างพนักงานที่มีแรงจูงใจในการทำงาน มีส่วนร่วม และมีประสิทธิภาพการทำงานสูง ซึ่งย่อมเป็นผลดีสำหรับธุรกิจของคุณ ประโยชน์ของการใส่ใจด้านสุขภาวะของพนักงาน มีดังนี้
ดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูง
การระบาดใหญ่ทั่วโลกทำให้การจัดลำดับความสำคัญของผู้คนเปลี่ยนไป รวมถึงสร้างแนวทางสู่ความสำเร็จแบบใหม่ "ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาวะ ความยั่งยืน และเป้าหมาย มากกว่าเงิน สถานะ และอำนาจ" Sharon กล่าว "ใครๆ ก็ต่างพูดถึงปรากฏการณ์ 'ลาออกครั้งใหญ่' และใครๆ ก็อยากลาออกจากงานทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าพนักงานกลับกลายเป็นผู้คุมเกม พวกเขาจะเลือกนายจ้างที่ให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของบุคลากร"
พนักงานที่รู้สึกว่าตนมีความสำคัญและได้รับการสนับสนุนจากองค์กรก็จะมีความภักดีและต้องการทำงานต่อเนื่องกับที่เดิม และในขณะที่นายจ้างในสหราชอาณาจักรโดยเฉลี่ยจะใช้เงินประมาณ 3,000 ปอนด์และใช้เวลา 27.5 วันในการหาพนักงานใหม่แต่ละคน การรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงย่อมช่วยลดต้นทุนให้กับบริษัททั้งด้านเงินและเวลา2
มีความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกมากขึ้น
การให้ความสำคัญกับการไม่แบ่งแยกที่มากขึ้นสามารถช่วยดึงดูดพนักงานที่มีความหลากหลายจากเหล่าบุคลากรที่มีความสามารถจากทุกพื้นเพที่มีแนวคิดแตกต่างกันได้ นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพจากการพัฒนาแล้ว สถานที่ทำงานที่ไม่แบ่งแยกและให้การสนับสนุนยังช่วยให้พนักงานที่มีปัญหาด้านสุขภาพอยู่แล้วได้รับความช่วยเหลือและทรัพยากรที่จำเป็นในการทำงานต่อไป และเติบโตในหน้าที่การงาน
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
พนักงานที่สุขภาพดี มีความสุข และมีแรงจูงใจในการทำงาน ก็จะมาทำงานด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีส่วนร่วม และมีสมาธิจดจ่อกับงาน ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับพนักงานที่ไม่มีความสุข ทำงานหนักเกินไป และเหนื่อยล้า ไม่มีแรง ไม่มีสมาธิ และมักเกิดปัญหากระทบกระทั่งกับเพื่อนร่วมงาน ทั้งหมดนี้ล้วนบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน หรือพูดอีกอย่างก็คือ การสนับสนุนพนักงานช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้นและบรรลุเป้าหมายได้มากกว่าเดิม
“อย่าให้กลยุทธ์ด้านสุขภาวะเป็นหน้าที่ของ HR ให้เริ่มที่ตัวบุคคล ทุกคนคือทรัพยากรของคุณ รวมถึงยังเป็นข้อมูลเชิงลึก และเป็นแนวทางแก้ปัญหาของคุณด้วย ”
สายสัมพันธ์ในทีมที่ดีขึ้น
สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการทำงานร่วมกัน เกิดการสร้างทีม และเกิดมิตรภาพในที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พนักงานรู้สึกมีตัวตน ผู้ที่ทำงานเป็นทีมกับเพื่อนๆ ก็จะทุ่มเทกับงานมากขึ้นเนื่องจากรู้สึกเกรงใจเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ที่ดีอาจส่งผลเชิงบวกอย่างมหาศาลต่อสุขภาวะทางจิตและความสุขในที่ทำงานของบุคลากร
ขวัญกำลังใจและความพึงพอใจในงานสูงขึ้น
พนักงานที่ได้รับการสนับสนุนความต้องการด้านสุขภาวะจะรู้สึกมีคุณค่าและพึงพอใจมากขึ้น และโดยทั่วไปก็จะเกิดความรู้สึกเคารพในตัวเองมากกว่าพนักงานที่ไม่ได้รับการสนับสนุน การรู้สึกว่างานของตนมีความหมายเป็นเรื่องสำคัญต่อสุขภาวะของพนักงาน และช่วยทำให้บุคลากรมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะบรรลุเป้าหมายของบริษัท
ความสัมพันธ์กับลูกค้าดีขึ้น
เมื่อสุขภาวะดี ปัญหาต่างๆ ก็จะถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว แนวคิดในการขายแบบใหม่ๆ ก็จะหลั่งไหลและมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานการให้บริการแก่ลูกค้า หากพนักงานที่ต้องพบลูกค้าและผู้มาใช้บริการมีความรู้สึกกังวลหรือซึมเศร้า และไม่ศรัทธากับงานที่ทำ คุณภาพของสินค้าหรือการให้บริการก็ย่อมตกต่ำลง และอาจทำให้ปัญหาลุกลามเนื่องจากการสื่อสารที่ไม่ดี
การส่งเสริมสุขภาวะของพนักงานต้องทำอย่างไร
แล้วคุณจะสร้างกลยุทธ์ด้านสุขภาวะของพนักงานซึ่งใส่ใจผู้คนเป็นหลักได้อย่างไร เริ่มต้นด้วยเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 ข้อนี้
ขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ผู้นำและผู้จัดการมักพบปัญหาในการของบประมาณสำหรับการดูแลสุขภาวะ ตามข้อมูลจาก Sharon ดังนั้น ขั้นแรกก็คือการสร้างแผนธุรกิจเพื่อยื่นต่อคณะกรรมการ ซึ่งมุ่งเน้นที่ประโยชน์ต่างๆ ของสุขภาวะ รวมไปถึง ROI เช่น Deloitte คาดการณ์ว่าจะได้ผลตอบแทนที่ 5 ปอนด์ ต่อทุกๆ 1 ปอนด์ที่ลงทุนในด้านสุขภาพจิต3
วางรากฐานที่แข็งแกร่ง
"สิ่งที่พนักงานต้องการ และสิ่งที่นายจ้างต้องการให้ ใช่ว่าจะสอดคล้องกันเสมอไป" Sharon ตั้งข้อสังเกต นายจ้างอาจมองเรื่องสุขภาวะเป็นกลยุทธ์ในเชิงรับ เช่น รอแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างความวิตกกังวลและภาวะหมดไฟเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว
แต่พนักงานต้องการกลยุทธ์เชิงป้องกัน นั่นหมายถึงการให้ความสนใจเรื่องพื้นฐาน อย่างปริมาณงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ก่อนที่จะสนใจเรื่องอื่นๆ ที่สูงขึ้นไปตามลำดับขั้นความต้องการ
เน้นย้ำที่จุดประสงค์
ทัศนคติในการทำงานเปลี่ยนไปจากเดิมในระหว่างช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก "บุคลากรต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเองกำลังทำประโยชน์ให้กับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่" Sharon กล่าว ด้วยเหตุนี้ องค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องทำให้สิ่งที่พวกเขาทำ (และเหตุผลที่ทำ) มีความสัมพันธ์กับพนักงานทุกคนและงานของตน
แค่ค่านิยมที่เขียนไว้เฉยๆ ในอินทราเน็ตคงไม่เพียงพอ ผู้นำจำเป็นต้องนำคุณค่ามาผนวกเข้ากับการทำงานแต่ละวันด้วย แต่จะทำอย่างไรได้บ้างล่ะ ด้วยการพูดคุยกับบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นแบบตัวต่อตัว แบบทีม หรือกับทั้งบริษัท เพื่อให้พนักงานรับรู้ว่างานของตนเองมีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมขนาดใหญ่อย่างไรบ้าง
ใช้การวัดผลแบบคล่องตัว
แบบสำรวจด้านสุขภาวะทั่วบริษัทอาจจะเป็นวิธีที่ดีในการเก็บข้อมูลเบื้องต้นว่าบุคลากรกำลังรู้สึกอย่างไรและต้องการอะไรจากสุขภาวะในที่ทำงาน แต่คุณก็จำเป็นต้องตรวจวัดสุขภาวะเป็นระยะด้วย เพื่อที่จะสามารถติดตามผลได้ว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และดูว่ามาตรการด้านสุขภาวะต่างๆ มีประสิทธิภาพเพียงใด
และที่สำคัญไปกว่านั้น คือคุณจะได้สามารถแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ หากจำเป็น "กุญแจคือการทำความเข้าใจว่าสุขภาวะหมายถึงอะไรสำหรับบุคลากรของคุณ" Sharon กล่าว "อย่าให้กลยุทธ์ด้านสุขภาวะเป็นหน้าที่ของ HR ให้เริ่มที่ตัวบุคคล ทุกคนคือทรัพยากรของคุณ รวมถึงยังเป็นข้อมูลเชิงลึก และเป็นแนวทางแก้ปัญหาของคุณด้วย"