การทำงานแบบยืดหยุ่นคืออะไรและมีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร
การมอบอิสระมากขึ้นให้ผู้คนสามารถทำงานอย่างที่ต้องการช่วยให้ทั้งบริษัทและพนักงานได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่ายได้ มาดูกันว่าการทำงานแบบยืดหยุ่นจะช่วยคุณได้อย่างไรบ้าง
ความยืดหยุ่นในสถานที่ทำงานคืออะไร
ความยืดหยุ่นในสถานที่ทำงาน คือการจัดการงานที่ช่วยให้พนักงานสามารถควบคุมเวลาและสถานที่ในการทำงานได้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่อไปนี้
ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น
การทำงานที่บ้าน
การแบ่งปันงาน
การลดวันทำงานในแต่ละสัปดาห์ (เช่น การทำงาน 9 วันต่อ 2 สัปดาห์)
การทำงานพาร์ทไทม์
แนวคิดของการทำงานแบบยืดหยุ่น คือการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ช่วยผู้คนรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว อีกทั้งยังเพิ่มผลิตภาพและความพึงพอใจในการทำงานไปพร้อมกัน การทำงานลักษณะนี้มีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย เพราะการมอบความยืดหยุ่นในการทำงานช่วยให้นายจ้างสามารถดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความหลากหลายและมีทักษะเอาไว้ได้ และพนักงานก็จะมีสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้น
นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มนำความยืดหยุ่นในที่ทำงานในหลากหลายรูปแบบมาใช้ แม้แต่บริษัทที่มีชื่อเสียงบางรายก็ได้นำนโยบายการทำงานจากทางไกลที่ยืดหยุ่นมาใช้ด้วยเช่นกัน และไม่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่มีสาเหตุ
แบบสำรวจโดย Gallup พบว่า ประมาณ 8 ใน 10 ของพนักงานทำงานแบบไฮบริดหรือทำงานจากทางไกล ในขณะที่การศึกษาของ AT&T คาดการณ์ว่ารูปแบบการทำงานแบบไฮบริดจะเติบโตขึ้นจาก 42% ในปี 2021 เป็น 81% ในปี 2024 ด้วยแนวโน้มการทำงานแบบยืดหยุ่นที่จะเติบโตขึ้นไปอีกในอนาคตอันใกล้ บริษัทต่างๆ จึงเริ่มกระตือรือร้นที่จะทำความเข้าใจประโยชน์ของความยืดหยุ่นในที่ทำงานและมองหาแนวทางแก้ไขที่ยืดหยุ่นและเหมาะกับบริษัทกันมากขึ้น
มาพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตแห่งการทำงานกัน
เรากำลังพยายามค้นหาคำตอบของคำถามที่สำคัญที่สุดที่เราทุกคนต่างสงสัยเกี่ยวกับการทำงานในเมตาเวิร์ส มาดูกัน
การทำงานแบบยืดหยุ่นกับการทำงานแบบไฮบริด
การทำงานแบบยืดหยุ่นและการทำงานแบบไฮบริดล้วนเป็นวิธีการทำงานยอดนิยมที่ช่วยให้พนักงานรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้ดีขึ้น แต่ทั้งสองรูปแบบนี้แตกต่างกันในแง่ของวัตถุประสงค์และขอบเขต
การทำงานแบบยืดหยุ่น ครอบคลุมการจัดการงานที่ออกแบบมาเพื่อให้พนักงานสามารถควบคุมเวลา สถานที่ และรูปแบบการทำงานได้มากขึ้น ซึ่งอาจประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น การทำงานพาร์ทไทม์ ตารางการทำงานแบบทางเลือก และเวลาพักที่ไม่จำกัด คุณสมบัติที่สำคัญของการทำงานแบบยืดหยุ่น คือการมอบอิสระให้พนักงานได้ทำงานตามความต้องการและความพึงพอใจของแต่ละคน พร้อมช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำงานแบบไฮบริด เป็นการผสมผสานระหว่างการทำงานจากที่บ้านและการทำงานในที่ทำงาน สำหรับการจัดการงานแบบไฮบริด พนักงานจะสามารถเลือกสถานที่ทำงานในวันใดก็ได้ตามตารางงานและความพึงพอใจของตน แนวคิดหลักคือการผสมผสานประโยชน์ของการทำงานทั้งสองรูปแบบ นั่นก็คือความสามารถในการทำงานจากที่บ้านเมื่อพนักงานต้องการ ในขณะที่ยังสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและมีโอกาสทำงานร่วมกับผู้อื่นในที่ทำงาน
แม้ว่าทั้งการทำงานแบบยืดหยุ่นและแบบไฮบริดจะช่วยให้พนักงานสามารถควบคุมตารางการทำงานของตนได้มากขึ้น แต่การทำงานแบบยืดหยุ่นมีความหลากหลายมากกว่า แล้วเราควรเลือกการทำงานแบบไหนดี ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการและความพึงพอใจของบริษัทและพนักงาน
ตารางการทำงานแบบยืดหยุ่น: ข้อดีและข้อเสีย
การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของตารางการทำงานแบบยืดหยุ่นสามารถช่วยคุณตัดสินใจว่าการทำงานแบบนี้เหมาะกับคุณและบริษัทหรือไม่
ข้อดีของความยืดหยุ่นในการทำงาน
ประโยชน์ของความยืดหยุ่นในสถานที่ทำงานสามารถดูได้จากพนักงานและนายจ้าง เช่น
การดึงดูดผู้สมัครงาน: พนักงานหลายคนต้องการสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น และโอกาสที่จะได้ทำงานในลักษณะที่เหมาะสมกับความต้องการส่วนบุคคลและภาระทางครอบครัว การเสนอระบบจัดการงานที่ยืดหยุ่น เช่น ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น การทำงานจากทางไกล หรือการแบ่งปันงาน จะช่วยให้ตำแหน่งงานมีความน่าสนใจมากขึ้น อันที่จริง การสำรวจโดย Remote พบว่า พนักงาน 77% ต้องการงานที่มีตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น
การขยายฐานผู้สมัครที่มีศักยภาพ: นายจ้างที่เสนอการทำงานแบบยืดหยุ่นสามารถดึงดูดผู้สมัครได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงผู้ที่ไม่สามารถทำงานตามเวลาทำงานปกติได้ เช่น ผู้ปกครองที่ต้องเลี้ยงดูบุตร ผู้พิการ หรือผู้ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล
สุขภาวะของพนักงาน: การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า ความยืดหยุ่นในการทำงานสามารถช่วยลดความเครียดและปรับปรุงสุขภาวะโดยรวมของพนักงานให้ดีขึ้นได้ พนักงานสามารถจัดการงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น และยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งอาจช่วยบรรเทาภาวะหมดไฟและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
ปรับปรุงการมีส่วนร่วมของพนักงาน: พนักงานที่รู้สึกว่านายจ้างสนับสนุนความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานรวมไปถึงสุขภาวะของตน มักมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมและทุ่มเทให้กับงาน การสำรวจโดย FlexJobs พบว่า พนักงาน 82% กล่าวว่าตนจะภักดีต่อนายจ้างมากขึ้น หากสามารถเลือกตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นได้ และ 65% กล่าวว่า การมีความยืดหยุ่นในที่ทำงานจะเพิ่มความพึงพอใจต่องานโดยรวมได้
สร้างแรงจูงใจ: การวิจัยเผยให้เห็นว่า ความยืดหยุ่นในการทำงานสามารถเพิ่มแรงจูงใจของพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพนักงานที่รู้สึกว่าตนเป็นผู้ควบคุมตารางการทำงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ผลิตภาพที่มากขึ้นและประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นได้
การรักษาพนักงาน: การเสนอระบบการจัดการงานที่ยืดหยุ่นสามารถช่วยปรับปรุงอัตราการทำงานต่อของพนักงาน โดยการเพิ่มความพึงพอใจของพนักงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้การสนับสนุนและเอื้ออำนวยมากขึ้นตามความต้องการของบุคลากร
ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานในเวลาที่ทำงานได้ดีที่สุด: ตารางการทำงานแบบทางเลือกช่วยให้พนักงานสามารถทำงานในช่วงเวลาที่ตนพร้อมมากที่สุด ซึ่งก่อให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นและมีผลิตภาพมากขึ้น International Workplace Group พบว่า 85% ของธุรกิจรายงานว่า การใช้นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่นเป็นผลให้เกิดผลิตภาพที่มากขึ้น
ข้อเสียของความยืดหยุ่นในการทำงาน
แม้ว่าความยืดหยุ่นในการทำงานจะมีประโยชน์อยู่หลายประการ แต่ใช่ว่าจะปราศจากข้อเสีย ข้อเสียบางประการของความยืดหยุ่นในการทำงานมีดังนี้
การรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม: ไม่ใช่ว่าพนักงานทุกคนจะใช้ประโยชน์จากชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นได้ ยกตัวอย่างเช่น บุคลากรหน้างาน อาจจำเป็นต้องอยู่ประจำสถานที่ทำงานเพื่อทำหน้าที่ของตน ในขณะที่พนักงานคนอื่นสามารถทำงานจากทางไกล ซึ่งกรณีเช่นนี้อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจได้
ขอบเขตระหว่างที่ทำงานและที่บ้านไม่ชัดเจน: ความยืดหยุ่นในที่ทำงานอาจทำให้แยกงานออกจากกิจกรรมอื่นๆ ได้ยาก และก่อให้เกิดความคิดว่าต้อง "พร้อมทำงานตลอดเวลา" ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้ การไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว อาจทำให้พนักงานเผชิญกับภาวะหมดไฟ เกิดความเครียด และมีความพึงพอใจต่อการทำงานลดลง
ขาดแบบแผน: พนักงานที่ทำงานตามตารางงานแบบทางเลือกอาจรู้สึกว่าตนต้องมีวินัยในตนเองและแรงจูงใจมากขึ้น เพื่อจัดการกับเวลาและทำงานให้เสร็จลุล่วง
ใช้การดูแลจัดการมากขึ้น: การใช้และดูแลการจัดการระบบการทำงานที่ยืดหยุ่นอาจทำให้ฝ่ายบริหารจัดการและฝ่ายทรัพยากรบุคคลมีงานที่ต้องดูแลมากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการสร้างนโยบาย แผนการและตารางงาน การจัดการคำขอเพื่อความยืดหยุ่นในการทำงาน และการทำให้แน่ใจว่าผู้คนทำงานจนเสร็จลุล่วงเมื่อใช้ระบบการทำงานแบบยืดหยุ่น
ผลกระทบเชิงลบต่อวัฒนธรรมในสถานที่ทำงาน: การจัดการงานแบบยืดหยุ่นทำให้ทีมมีโอกาสเจอหน้ากันน้อยลง และหากจัดการไม่ดีก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อวัฒนธรรมในสถานที่ทำงานได้ เช่น พนักงานที่ทำงานจากทางไกลอาจรู้สึกถูกตัดขาดจากเพื่อนร่วมงานและขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งทำให้แรงจูงใจ การมีส่วนร่วม และความพึงพอใจในการทำงานลดน้อยลง
การใช้ตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น
การเริ่มต้นนำความยืดหยุ่นมาสู่การทำงานอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และนี่คือเคล็ดลับบางส่วนที่จะช่วยให้คุณทำได้สำเร็จ
กำหนดนโยบายที่ชัดเจน: นโยบายที่ระบุว่าใครสามารถทำงานแบบยืดหยุ่นได้ เมื่อใด ที่ใด และอย่างไร สามารถช่วยกำหนดความคาดหวังและระบุสิทธิ์และความรับผิดชอบของทั้งพนักงานและผู้จัดการอย่างชัดเจน นโยบายควรครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น เกณฑ์คุณสมบัติ ประเภทของความยืดหยุ่นในที่ทำงานที่มี ข้อกำหนดด้านการสื่อสาร และความคาดหวังด้านประสิทธิภาพการทำงาน
ลงทุนกับเทคโนโลยีที่เหมาะสม: คุณอาจต้องลงทุนกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยให้การจัดการงานแบบยืดหยุ่นได้ผลดี ลองพิจารณาการประชุมทางวิดีโอ ระบบจัดการเอกสารบนระบบคลาวด์ และเครื่องมือการทำงานร่วมกัน ก่อนที่คุณจะเริ่มใช้การทำงานแบบยืดหยุ่นรูปแบบใดก็ตาม คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริษัทมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อรองรับการทำงานดังกล่าว
บันทึกชั่วโมงการทำงาน: ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นอาจทำให้เวลาการทำงานและเวลาส่วนตัวปะปนกัน ซึ่งยากต่อการติดตามเวลาการทำงาน บริษัทบางแห่งแก้ไขปัญหานี้ด้วยการติดตามชั่วโมงการทำงานโดยใช้ซอฟต์แวร์การจัดการเวลาและการลงชื่อ วิธีนี้ทำให้แน่ใจได้ว่าองค์กรของคุณปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน อีกทั้งยังช่วยป้องกันภาวะหมดไฟได้ด้วย
วัดประสิทธิภาพของพนักงาน: คุณต้องรู้ว่าการจัดการงานแบบยืดหยุ่นของคุณได้ผลเพียงใด การวัดประสิทธิภาพการทำงานสามารถช่วยประเมินประสิทธิผลของการทำงานแบบยืดหยุ่นและชี้ให้เห็นส่วนที่ต้องปรับปรุง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีเป้าหมายด้านประสิทธิภาพการทำงานและความคาดหวังสำหรับพนักงานที่ชัดเจน ตลอดจนแนวทางในการติดตามและประเมินประสิทธิภาพการทำงาน
สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ:การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความยืดหยุ่นในการทำงานที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องแน่ใจว่าพนักงานและผู้จัดการมีช่องทางการติดต่อสื่อสารที่ชัดเจน และสะดวกที่จะใช้ช่องทางเหล่านั้น ส่งเสริมให้มีการพูดคุยกันเป็นประจำและทำให้มั่นใจว่าการสื่อสารเป็นไปอย่างเปิดกว้าง โปร่งใส และเคารพซึ่งกันและกัน
การวางรากฐานที่เหมาะสมและคอยติดตามความคืบหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนช่วยให้คุณสามารถสร้างความยืดหยุ่นในที่ทำงานที่ประสบความสำเร็จ และได้รับประโยชน์จากพนักงานที่มีส่วนร่วมและมีผลิตภาพยิ่งขึ้น
อ่านต่อ